วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

แก้อาการไอง่ายๆ ด้วยสูตรสมุนไพรใกล้ตัว
ข้อมูลสุขภาพ
สุขภาพใจ สุขภาพจิต
โรคหัวใจ
โรคมะเร็ง
เบาหวาน
โคเลสเตอรอล
ไต
สุภาพสตรี
ผู้สูงอายุ
กระดูกและข้อ
ฟัน
โรคอ้วน
เฉพาะด้านอื่นๆ
สารอาหาร
ทั่วไป
 

อาการไอ เป็นส่วนหนึ่งของกลไกของปอด ที่ใช้ในการสกัดสิ่งที่บุกรุกเข้ามา โดยทั่วไป อาการไอ เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น สูดดมควันต่างๆ ฝุ่นละออง หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ แต่สาเหตุสำคัญ คือ การติดเชื้อจากแบคทีเรีย ไวรัส หากมีอาการเจ็บคอ ไอแห้งๆ หรือมี เสมหะเล็กน้อย มักเป็นอาการร่วมของโรคหวัด ได้แก่ ไข้หวัด โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เสมหะอุดตันที่คอ ไข้หวัดใหญ่ หรือติดเชื้อไวรัสอื่นๆ
ส่วนสาเหตุที่อาจเป็นไปได้แต่พบได้น้อยได้แก่ หัด ไอกรน คออักเสบ กล่องเสียงอักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบ หรือปอดบวม เป็นต้น
วิธีรักษาอาการไอที่ดีที่สุดคือ การรักษาที่ต้นเหตุของการไอ แต่ไม่ใช่การกดอาการไว้ เพราะการไอจะช่วยขับเอาเสมหะ และฝุ่นละอองที่ สูดหายใจเข้าไปออกจากปอด หลอดลม และหลอดคอออกมา
รักษาไอให้ถูกวิธี
เมื่อเริ่มมีอาการไอ คนส่วนใหญ่มักรีบสรรหายาแก้ไอสารพัดยี่ห้อมากิน ซึ่งนอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว บางครั้งยังส่งผลข้างเคียงอื่นๆ ตามมา ทางที่ดีที่สุดควรแก้ด้วยวิธีที่ปลอดภัยดังนี้ค่ะ
 
1.
ควรปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมรอบตัว โดยพยายามอยู่ในบริเวณที่มีอากาศไม่เย็น ไม่มีฝุ่นละออง
 
2.
อาการไอแบบมีเสมหะ จะเป็นการดึงมูกออกจากเนื้อเยื่อ ควรนอนหนุนหมอนให้ศีรษะสูงกว่าลำตัว หรือในลักษณะกึ่งนอนกึ่งนั่ง เพื่อช่วยให้การหายใจคล่องขึ้น เมื่ออาการดีขึ้นแล้วจึงค่อยนอนราบตามปกติ
 
3.
ถ้ามีอาการไอแบบแห้ง จนไม่สามารถนอนหลับพักผ่อนได้ ควรใช้ยาสมุนไพรที่มีลักษณะข้น เพื่อเป็นการเคลือบคอ และบรรเทาอาการปวด
บรรเทาอาการไอด้วยสมุนไพร
 
ขิง รสหวานเผ็ดร้อนจะช่วยขับเสมหะ โดยนำเอาส่วนเหง้าขิงแก่ฝนกับน้ำมะนาว หรือใช้เหง้าขิงสดตำผสมน้ำเล็กน้อย คั้นเอาน้ำและเติม เกลือนิดหน่อย ใช้กวาดคอ หรือจิบบ่อยๆ หรือใช้ขิงแก่สดขนาดเท่าหัวแม่มือ ทุบให้แตกต้มกับน้ำให้เดือด จิบเวลาไอ
 
ดีปลี รสเผ็ดร้อนมีสรรพคุณช่วยขับเสมหะ ใช้ผลแก่ของดีปลีประมาณ 1/2-1 ผล ฝนกับน้ำมะนาว เติมเกลือนิดหน่อย กวาดลิ้นหรือจิบ บ่อยๆ
 
เพกา เมล็ดเพกาเป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งใน "น้ำจับเลี้ยง" ของคนจีน ใช้ดื่มแก้ร้อนใน เมล็ดเพกามีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอ และขับ เสมหะ โดยใช้เมล็ดเพกาประมาณ 1/2-1 กำมือ (หนัก 1.5-3 กรัม) ต้มกับน้ำประมาณ 300 มิลลิลิตร ตั้งไฟอ่อนๆ ต้มให้เดือดนานประมาณ 1 ชั่วโมง ใช้ดื่มเป็นยาวันละ 3 ครั้ง
 
มะขามป้อม ผลสดของมะขามป้อม มีรสเปรี้ยวอมฝาด มีสรรพคุณรักษาอาการไอ ช่วยขับเสมหะ โดยใช้เนื้อผลแก่สด 2-3 ผล โขลกให้แหลก เหยาะเกลือเล็กน้อย ใช้อมหรือเคี้ยววันละ 3-4 ครั้ง
 
มะขาม รสเปรี้ยวของมะขาม สามารถกัดเสมหะให้ละลายได้ เมื่อมีอาการไอ ระคายคอจากเสมหะ ให้ใช้เนื้อในฝักแก่ของมะขามเปรี้ยว หรือมะขามเปียก (ที่มีรสเปรี้ยว) จิ้มเกลือกินพอสมควร หรืออาจคั้นเป็นน้ำมะขามเหยาะเกลือเล็กน้อย ใช้จิบบ่อยๆ ก็ได้
 
มะนาว รสเปรี้ยวของน้ำมะนาว มีสรรพคุณแก้อาการไอ และขับเสมหะ โดยใช้ผลสดคั้นเอาแต่น้ำ จะได้น้ำมะนาวเข้มข้น และใส่เกลือเล็ก น้อยจิบบ่อยๆ หรือจะทำเป็นน้ำมะนาวใส่เกลือและน้ำตาล ปรุงให้มีรสจัด จิบบ่อยๆ ตลอดวัน หรือหั่นมะนาวขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย จิ้มเกลือ นิดหน่อย ใช้อมบ้างเคี้ยวบ้าง
 
มะแว้งเครือ รสขมของมะแว้ง มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอ และกัดเสมหะ โดยใช้ผลแก่สดประมาณ 5-10 ผล โขลกพอแหลก คั้นเอาแต่น้ำ ใส่ เกลือ จิบบ่อยๆ หรือจะใช้ผลสดเคี้ยว แล้วกลืนทั้งน้ำและเนื้อ จนกว่าอาการจะดีขึ้นก็ได้
กิน...รักษาอาการไอ
การเลือกบริโภคก็มีส่วนช่วยบรรเทาอาการไอได้ แต่ต้องเป็นการกินที่ถูกวิธีและถูกสูตรด้วยนะคะ
 
1.
กินกระเทียมอัดเม็ดครั้งละ 2 เม็ด วันละ 3 ครั้ง
 
2.
กินวิตามินเอ วิตามินบี และวิตามินซีเป็นประจำทุกวัน
 
3.
อมลูกอมรสเมนทอล หรือชนิดอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอาการชา จะทำให้รู้สึกชุ่มคอ
 
4.
ผสมน้ำส้มไซเดอร์ 1 ส่วน กับน้ำอุ่น 3 ส่วน เอาผ้าขนหนูชุบน้ำดังกล่าว แล้วพันรอบคอไว้ จะช่วยขับเสมหะ
บำบัดอาการไอด้วยน้ำมันหอม
น้ำมันหอมสำหรับบำบัดอาการไอ แต่ละกลิ่นก็เหมาะกับแต่ละคน ที่มีธาตุเจ้าเรือนต่างกันดังนี้ค่ะ
 
ธาตุเจ้าเรือนดิน ใช้ไพล ไม้จันทน์ มะลิ
 
ธาตุเจ้าเรือนน้ำ ใช้โหระพา กำยาน มะลิ
 
ธาตุเจ้าเรือนลม ใช้โหระพา เปปเปอร์มิ้นต์
 
ธาตุเจ้าเรือนไฟ ใช้โรสแมรี่ พิมเสน การบูร ทีทรี ยูคาลิปตัส ขิง
 
ธาตุเจ้าเรือนเป็นกลาง ใช้กุหลาบ
วิธีบำบัด
 
1.
ใช้สูดดมโดยตรง หรือใช้หยดในน้ำร้อนแล้วสูดดม
 
2.
ผสมน้ำมันหอมระเหย วาสลีน และขี้ผึ้งเข้าด้วยกัน แล้วทาที่บริเวณหน้าอก
 
3.
หากคัดจมูกมากจนหายใจไม่ออก บางทีการสูดดมอาจไม่ค่อยได้ผล ให้ใช้นิ้วถูข้างจมูกทั้งสองข้างให้ร้อน สั่งน้ำมูกออก แล้ว ค่อยสูดดมใหม่ หรือใช้การทานวดจะได้ผลมากกว่า
 
4.
นำยูคาลิปตัส เปปเปอร์มิ้นต์ ลาเวนเดอร์ และไพล ผสมในอัตราส่วนเท่าๆ กัน ใช้สูดดมสูตรนี้ทำให้น้ำมูกลดลงทันที หายใจ สะดวกขึ้น
 
5.
นำยูคาลิปตัส ไธม์ สน ไซเปรส และแซนดัลวูด ชนิดละ 2-3 หยด หยดลงในอ่างน้ำร้อน แล้วสูดดมไอน้ำประมาณ 10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง จนกว่าอาการไอจะหายไป
 
6.
ถ้าต้องการแก้อาการวิงเวียนหน้ามืด ให้เติมการบูร หรือพิมเสน ลงไปเล็กน้อยตามสูตรจากข้อ 4 หรืออาจทำเป็นยาดมพกติดตัว ไว้ เวลาเดินทางไกลๆ หากบังเอิญว่ามีใครไอ จาม ก็หยิบขึ้นมาดมป้องกันการติดเชื้อได้ค่ะ

หลักการออกแบบผลิตภัณฑ์

หลักการออกแบบผลิตภัณฑ์

การออกแบบมีหลักการพื้นฐาน โดยอาศัยส่วนประกอบขององค์ประกอบศิลป์ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในบทเรียนเรื่อง “ องค์ประกอบศิลป์ ” คือ จุด เส้น รูปร่าง รูปทรง น้ำหนัก สี และพื้นผิว นำมาจัดวางเพื่อให้เกิดความสวยงามโดยมีหลักการ ดังนี้

1. ความเป็นหน่วย (Unity)
ในการออกแบบ ผู้ออกแบบจะต้องคำนึงถึงงานทั้งหมดให้อยู่ในหน่วยงานเดียวกันเป็นกลุ่มก้อน หรือมีความสัมพันธ์กันทั้งหมดของงานนั้นๆ และพิจารณาส่วนย่อยลงไปตามลำดับในส่วนย่อยๆก็คงต้องถือหลักนี้เช่นกัน

2. ความสมดุลหรือความถ่วง (Balancing)
เป็นหลักทั่วๆไปของงานศิลปะที่จะต้องดูความสมดุลของงานนั้นๆ ความรู้สึกทางสมดุลของงานนี้เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในส่วนของความคิดในเรื่องของความงามในสิ่งนั้นๆ มีหลักความสมดุลอยู่ 3 ประการ

2.1 ความสมดุลในลักษณะเท่ากัน (Symmetry Balancing)
คือมีลักษณะเป็นซ้าย-ขวา บน-ล่าง เป็นต้น ความสมดุลในลักษณะนี้ดูและเข้าใจง่าย

2.2 ความสมดุลในลักษณะไม่เท่ากัน (Nonsymmetry Balancing) คือมีลักษณะสมดุลกันในตัวเองไม่จำเป็นจะต้องเท่ากันแต่ดูในด้านความรู้สึกแล้วเกิดความสมดุลกันในตัวลักษณะการสมดุลแบบนี้ผู้ออกแบบจะต้องมีการประลองดูให้แน่ใจในความรู้สึกของผู้พบเห็นด้วยซึ่งเป็นความสมดุลที่เกิดในลักษณะที่แตกต่างกันได้ เช่น ใช้ความสมดุลด้วยผิว (Texture) ด้วยแสง-เงา (Shade) หรือด้วยสี (Colour)

2.3 จุดศูนย์ถ่วง (Gravity Balance) การออกแบบใดๆที่เป็นวัตถุสิ่งของและจะต้องใช้งานการทรงตัวจำเป็นที่ผู้ออกแบบจะต้องคำนึงถึงจุดศูนย์ถ่วงได้แก่ การไม่โยกเอียงหรือให้ความรู้สึกไม่มั่นคงแข็งแรง ดังนั้นสิ่งใดที่ต้องการจุศูนย์ถ่วงแล้วผู้ออกแบบจะต้องระมัดระวังในสิ่งนี้ให้มาก ตัวอย่างเช่น เก้าอี้จะต้องตั้งตรงยึดมั่นทั้งสี่ขาเท่าๆกัน การทรงตัวของคนถ้ายืน 2 ขา ก็จะต้องมีน้ำหนักลงที่เท้าทั้ง 2 ข้างเท่าๆกัน ถ้ายืนเอียงหรือพิงฝา น้ำหนักตัวก็จะลงเท้าข้างหนึ่งและส่วนหนึ่งจะลงที่หลังพิงฝา รูปปั้นคนในท่าวิ่งจุดศูนย์ถ่วงจะอยู่ที่ใด ผู้ออกแบบจะต้องรู้และวางรูปได้ถูกต้องเรื่องของจุดศูนย์ถ่วงจึงหมายถึงการทรงตัวของวัตถุสิ่งของนั่นเอง

3. ความสัมพันธ์ทางศิลปะ ( Relativity of Arts)
ในเรื่องของศิลปะนั้น เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณากันหลายขั้นตอนเพราะเป็นเรื่องความรู้สึกที่สัมพันธ์กัน อันได้แก่

3.1 การเน้นหรือจุดสนใจ (Emphasis or CentreofInterest) งานด้านศิลปะผู้ออกแบบจะต้องมีจุดเน้นให้เกิดสิ่งที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็น โดยมีข้อบอกกล่าวเป็นความรู้สึกร่วมที่เกิดขึ้นเองจากตัวของศิลปกรรมนั้นๆ ความรู้สึกนี้ผู้ออกแบบจะต้องพยายามให้เกิดขึ้นเหมือนกัน

3.2 จุดสำคัญรอง ( Subordinate)
คงคล้ายกับจุดเน้นนั่นเองแต่มีความสำคัญรองลงไปตามลำดับซึ่งอาจจะเป็นรองส่วนที่ 1ส่วนที่ 2 ก็ได้ ส่วนนี้จะช่วยให้เกิดความลดหลั่นทางผลงานที่แสดง ผู้ออกแบบจะต้องคำนึงถึงสิ่งนี้ด้วย

3.3 จังหวะ ( Rhythem)
โดยทั่วๆไปสิ่งที่สัมพันธ์กันในสิ่งนั้นๆย่อมมีจังหวะ ระยะหรือความถี่ห่างในตัวมันเองก็ดีหรือสิ่งแวดล้อมที่สัมพันธ์อยู่ก็ดีจะเป็นเส้น สี เงา หรือช่วงจังหวะของการตกแต่ง แสงไฟ ลวดลาย ที่มีความสัมพันธ์กันในที่นั้นเป็นความรู้สึกของผู้พบเห็นหรือผู้ออกแบบจะรู้สึกในความงามนั่นเอง

3.4 ความต่างกัน ( Contrast)
เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพื่อช่วยให้มีการเคลื่อนไหวไม่ซ้ำซากเกินไปหรือเกิดความเบื่อหน่าย จำเจ ในการตกแต่งก็เช่นกัน ปัจจุบันผู้ออกแบบมักจะหาทางให้เกิดความรู้สึกขัดกันต่างกันเช่น เก้าอี้ชุดสมัยใหม่แต่ขณะเดียวกันก็มีเก้าอี้สมัยรัชกาลที่ 5 อยู่ด้วย 1 ตัว เช่นนี้ผู้พบเห็นจะเกิดความรู้สึกแตกต่างกันทำให้เกิดความรู้สึก ไม่ซ้ำซาก รสชาติแตกต่างออกไป

3.5 ความกลมกลืน ( Harmomies)

ความกลมกลืนในที่นี้หมายถึงพิจารณาในส่วนรวมทั้งหมดแม้จะมีบางอย่างที่แตกต่างกันการใช้สีที่ตัดกันหรือการใช้ผิว ใช้เส้นที่ขัดกัน ความรู้สึกส่วนน้อยนี้ไม่ทำให้ส่วนรวมเสียก็ถือว่าเกิดความกลมกลืนกันในส่วนรวม ความกลมกลืนในส่วนรวมนี้ถ้าจะแยกก็ได้แก่ความเน้นไปในส่วนมูลฐานทางศิลปะอันได้แก่ เส้น แสง-เงา รูปทรง ขนาด ผิว สี นั่นเอง

ผลิตภัณฑ์ที่ดีย่อมเกิดมาจากการออกแบบที่ดีในการออกแบบผลิตภัณฑ์ นักออกแบบต้องคำนึงถึงหลักการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นเกณฑ์ในการกำหนดคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ที่ดีเอาไว้ว่าควรจะมีองค์ประกอบอะไรบ้างแล้วใช้ความคิดสร้างสรรค์ วิธีการต่างๆ ที่ได้กล่าวมาเสนอแนวคิดให้ผลิตภัณฑ์มีความเหมาะสมตามหลักการออกแบบโดยหลักการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่นักออกแบบควรคำนึงนั้นมีอยู่ 9 ประการ คือ

• หน้าที่ใช้สอย ( FUNCTION)

• ความปลอดภัย (SAFETY)

• ความแข็งแรง (CONSTRUCTION)

• ความสะดวกสบายในการใช้ (ERGONOMICS)

• ความสวยงาม (AESTHETIES)

• ราคาพอสมควร (COST)

• การซ่อมแซมง่าย (EASE OF MAINTENANCE)

• วัสดุและการผลิต (MATERIALS AND PRODUCTION)

• การขนส่ง (TRANSPORTATION)

1 หน้าที่ใช้สอย

หน้าที่ใช้สอยถือเป็นหลักการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดเป็นอันดับแรกที่ต้องคำนึงผลิตภัณฑ์ทุกชนิดต้องมีหน้าที่ใช้สอยถูกต้องตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกสบาย ผลิตภัณฑ์นั้นถือว่ามีประโยชน์ใช้สอยดี (HIGH FUNCTION) แต่ถ้าหากผลิตภัณฑ์ใดไม่สามารถสนองความต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์นั้นก็จะถือว่ามีประโยชน์ใช้สอยไม่ดีเท่าที่ควร (LOW FUNTION)

สำหรับคำว่าประโยชน์ใช้สอยดี (HIGH FUNCTION) นั้น ดลต์ รัตนทัศนีย์ ( 2528 : 1) ได้กล่าวไว้ว่าเพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจขอให้ดูตัวอย่างการออกแบบมีดหั่นผักแม้ว่ามีดหั่นผักจะมีประสิทธิภาพในการหั่นผักให้ขาดได้ตามความต้องการ แต่จะกล่าวว่ามีดนั้นมีประโยชน์ใช้สอยดี (HIGH FUNCTION) ยังไม่ได้ จะต้องมีองค์ประกอบอย่างอื่นร่วมอีกเช่น ด้ามจับของมีดนั้นจะต้องมีความโค้งเว้าที่สัมพันธ์กับขนาดของมือผู้ใช้ ซึ่งจะเป็นส่วนที่ก่อให้เกิดความสะดวกสบายในการหั่นผักด้วย และภายหลังจากการใช้งานแล้วยังสามารถทำความสะอาดได้ง่าย การเก็บและบำรุงรักษาจะต้องง่ายสะดวกด้วย ประโยชน์ใช้สอยของมีดจึงจะครบถ้วนและสมบูรณ์

เรื่องหน้าที่ใช้สอยนับว่าเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนซับซ้อนมาก ผลิตภัณฑ์บางอย่างมีประโยชน์ใช้สอยตามที่ผู้คนทั่วๆ ไปทราบเบื้องต้นว่า มีหน้าที่ใช้สอยแบบนี้ แต่ความละเอียดอ่อนที่นักออกแบบได้คิดออกมานั้นได้ตอบสนองความสะดวกสบายอย่างเต็มที่ เช่น มีดในครัวมีหน้าที่หลักคือใช้ความคมช่วยในการหั่น สับ แต่เราจะเห็นได้ว่ามีการออกแบบมีดที่ใช้ในครัวอยู่มากมายหลายแบบหลายชนิดตามความละเอียดในการใช้ประโยชน์เป็นการเฉพาะที่แตกต่างเช่น มีดสำหรับปอกผลไม้ มีดแล่เนื้อสัตว์ มีดสับกระดูก มีดบะช่อ มีดหั่นผัก เป็นต้น ซึ่งก็ได้มีการออกแบบลักษณะแตกต่างกันออกไปตามการใช้งาน ถ้าหากมีการใช้มีดอยู่ชนิดเดียวแล้วใช้กันทุกอย่างตั้งแต่แล่เนื้อ สับบะช่อ สับกระดูก หั่นผัก ก็อาจจะใช้ได้ แต่จะไม่ได้ความสะดวกเท่าที่ควร หรืออาจได้รับอุบัติเหตุขณะที่ใช้ได้ เพราะไม่ใช่ประโยชน์ใช้สอยที่ได้รับการออกแบบมาให้ใช้เป็นการเฉพาะอย่าง

การออกแบบเก้าอี้ก็เหมือนกัน หน้าที่ใช้สอยเบื้องต้นของเก้าอี้ คือใช้สำหรับนั่ง แต่นั่งในกิจกรรมใดนั่งในห้องรับแขก ขนาดลักษณะรูปแบบเก้าอี้ก็เป็นความสะดวกในการนั่งรับแขก พูดคุยกัน นั่งรับประทานอาหาร ขนาดลักษณะเก้าอี้ก็เป็นความเหมาะสมกับโต๊ะอาหาร นั่งเขียนแบบบนโต๊ะเขียนแบบ เก้าอี้ก็จะมีขนาดลักษะณที่ใช้สำหรับการนั่งทำงานเขียนแบบ ถ้าจะเอาเก้าอี้รับแขกมาใช้นั่งเขียนแบบ ก็คงจะเกิดการเมื่อยล้า ปวดหลัง ปวดคอ แล้วนั่งทำงานได้ไม่นาน ตัวอย่างดังกล่าวต้องการที่จะพูดถึงเรื่องของหน้าที่ใช้สอยของผลิตภัณฑ์ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญและละเอียดอ่อนมาก ซึ่งนักออกแบบจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด

2 ความปลอดภัย

สิ่งที่อำนวยประโยชน์ได้มากเพียงใดย่อมจะมีโทษเพียงนั้น ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความสะดวกต่างๆ มักจะเกิดจากเครื่องจักรกลและเครื่องใช้ไฟฟ้า การออกแบบควรคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องแสดงเครื่องหมายไว้ให้ชัดเจนหรือมีคำอธิบายไว้

ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กต้องคำนึงถึงวัสดุที่เป็นพิษเวลาเด็กเอาเข้าปากกัดหรืออม นักออกแบบจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้เป็นสำคัญมีการออกแบบบางอย่างต้องใช้เทคนิคที่เรียกว่าแบบธรรมดาแต่คาดไม่ถึงช่วยในการให้ความปลอดภัย เช่น การออกแบบหัวเกลียววาล์ว ถังแก๊ส หรือปุ่มเกลียว ล็อกใบพัดของพัดลมจะมีการทำเกลียวเปิดให้ย้อนศรตรงกันข้ามกับเกลียวทั่วๆ ไปเพื่อความปลอดภัยสำหรับคนที่ไม่ทรายหรือเคยมือไปหมุนเล่นคือ ยิ่งหมุนก็ยิ่งขันแน่นเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้

3 ความแข็งแรง

ผลิตภัณฑ์จะต้องมีความแข็งแรงในตัวของผลิตภัณฑ์หรือโครงสร้างเป็นความเหมาะสมในการที่นักออกแบบรู้จักใช้คุณสมบัติของวัสดุและจำนวน หรือปริมาณของโครงสร้าง ในกรณีที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่จะต้องมีการรับน้ำหนัก เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ต้องเข้าใจหลักโครงสร้างและการรับน้ำหนัก อีกทั้งต้องไม่ทิ้งเรื่องของความสวยงามทางศิลปะ เพราะมีปัญหาว่าถ้าใช้โครงสร้างให้มากเพื่อความแข็งแรงจะเกิดสวนทางกับความงาม นักออกแบบจะต้องเป็นผู้ดึงเอาสิ่งสองสิ่งนี้เข้ามาอยู่ในความพอดีให้ได้

ส่วนความแข็งแรงของตัวผลิตภัณฑ์เองนั้นก็ขึ้นอยู่ที่การออกแบบรูปร่างและการเลือกใช้วัสดุ และประกอบกับการศึกษาข้อมูลการใช้ผลิตภัณฑ์ว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวต้องรับน้ำหนักหรือกระทบกระแทกอะไรหรือไม่ในขณะใช้งานก็คงต้องทดลองประกอบการออกแบบไปด้วยแต่อย่างไรก็ตาม ความแข็งแรงของโครงสร้างหรือตัวผลิตภัณฑ์นอกจากเลือกใช้ประเภทของวัสดุ โครงสร้างที่เหมาะสมแล้วยังต้องคำนึงถึงความประหยัดควบคู่กันไปด้วย

4 ความสะดวกสบายในการใช้

นักออกแบบต้องศึกษาวิชากายวิภาคเชิงกลเกี่ยวกับสัดส่วน ขนาด และขีดจำกัดที่เหมาะสมสำหรับอวัยวะส่วนต่างๆ ในร่างกายของมนุษย์ทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งจะประกอบด้วยความรู้ทางด้านขนาดสัดส่วนมนุษย์ (ANTHROPOMETRY) ด้านสรีรศาสตร์ (PHYSIOLOGY) จะทำให้ทราบ ขีดจำกัด ความสามารถของอวัยวะส่วนต่างๆ ในร่างกายมนุษย์ เพื่อใช้ประกอบการออกแบบ หรือศึกษาด้านจิตวิทยา (PSYCHOLOGY) ซึ่งความรู้ในด้านต่างๆ ที่กล่าวมานี้ จะทำให้นักออกแบบ ออกแบบและกำหนดขนาด (DIMENSIONS) ส่วนโค้ง ส่วนเว้า ส่วนตรง ส่วนแคบของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้อย่างพอเหมาะกับร่างกายหรืออวัยวะของมนุษย์ที่ใช้ ก็จะเกิดความสะดวกสบายในการใช้การไม่เมื่อยมือหรือเกิดการล้าในขณะที่ใช้ไปนานๆ ผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาวิชาดังกล่าว ก็จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้ใช้ต้องใช้อวัยวะร่างกายไปสัมผัสเป็นเวลานาน เช่น เก้าอี้ ด้าม เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ การออกแบบภายในห้องโดยสารรถยนต์ ที่มือจับรถจักรยาน ปุ่มสัมผัสต่างๆ เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ที่ยกตัวอย่างมานี้ถ้าผู้ใช้ผู้ใดได้เคยใช้มาแล้วเกิดความไม่สบายร่างกายขึ้น ก็แสดงว่าศึกษากายวิภาคเชิงกลไม่ดีพอแต่ทั้งนี้ก็ต้องศึกษาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้ดีก่อน จะไปเหมาว่าผลิตภัณฑ์นั้นไม่ดี เพราะผลิตภัณฑ์บางชนิดผลิตมาจากประเทศตะวันตก ซึ่งออกแบบโดยใช้มาตรฐานผู้ใช้ของชาวตะวันตก ที่มีรูปร่างใหญ่โตกว่าชาวเอเชีย เมื่อชาวเอเชียนำมาใช้อาจจะไม่พอดีหรือหลวม ไม่สะดวกในการใช้งาน นักออกแบบจึงจำเป็นต้องศึกษาสัดส่วนร่างกายของชนชาติหรือเผ่าพันธุ์ที่ใช้ผลิตภัณฑ์เป็นเกณฑ์

5 ความสวยงาม

ผลิตภัณฑ์ในยุคปัจจุบันนี้ความสวยงามนับว่ามีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหน้าที่ใช้สอยเลย ความสวยงามจะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อเพราะประทับใจ ส่วนหน้าที่ใช้สอยจะดีหรือไม่ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งคือใช้ไปเรื่อยๆ ก็จะเกิดข้อบกพร่องในหน้าที่ใช้สอยให้เห็นภายหลัง ผลิตภัณฑ์บางอย่างความสวยงามก็คือ หน้าที่ใช้สอยนั่นเอง เช่น ผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก ของโชว์ตกแต่งต่างๆ ซึ่งผู้ซื้อเกิดความประทับใจในความสวยงามของผลิตภัณฑ์ ความสวยงามจะเกิดมาจากสิ่งสองสิ่งด้วยกันคือ รูปร่าง (FORM) และสี (COLOR) การกำหนดรูปร่างและสี ในงานออกแบบผลิตภัณฑ์ไม่เหมือนกับการกำหนด รูปร่าง สี ได้ตามความนึกคิดของจิตรกรที่ต้องการ แต่ในงานออกแบบผลิตภัณฑ์เป็นในลักษณะศิลปะอุตสาหกรรมจะทำตามความชอบ ความรู้สึกนึกคิดของนักออกแบบแต่เพียงผู้เดียวไม่ได้จำเป็นต้องยึดข้อมูลและกฎเกณฑ์ผสมผสานรูปร่างและสีสันให้เหมาะสม

ด้วยเหตุของความสำคัญของรูปร่างและสีที่มีผลต่อผลิตภัณฑ์ นักออกแบบจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาวิชาทฤษฏีหรือหลีกการออกแบบและวิชาทฤษฏีสี ซึ่งเป็นวิชาทางด้านของศิลปะแล้วนำมาประยุกต์ผสานใช้กับศิลปะทางด้านอุตสาหกรรมให้เกิดความกลมกลืน

6 ราคาพอสมควร

ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นมาขายนั้นย่อมต้องมีข้อมูลด้านผู้บริโภคและการตลาดที่ได้ค้นคว้าและสำรวจแล้วผลิตภัณฑ์ย่อมจะต้องมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะใช้ว่าเป็นคนกลุ่มใด อาชีพฐานะเป็นอย่างไร มีความต้องการใช้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์นี้เพียงใด นักออกแบบก็จะเป็นผู้กำหนดแบบผลิตภัณฑ์ ประมาณราคาขายให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่จะซื้อได้การจะได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีราคาเหมาะสมกับผู้ซื้อนั้นก็อยู่ที่การเลือกใช้ชนิดหรือเกรดของวัสดุและเลือกวิธีการผลิตที่ง่ายรวดเร็ว เหมาะสม

อย่างไรก็ดี ถ้าประมาณการออกมาแล้วปรากฏว่าราคาค่อนข้างจะสูงกว่าที่กำหนดไว้ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาองค์ประกอบด้านต่างๆ กันใหม่ แต่ก็ยังต้องคงไว้ซึ่งคุณค่าของผลิตภัณฑ์นั้นเรียกว่าเป็นวิธีการลดค่าใช้จ่าย

7 การซ่อมแซมง่าย

หลักการนี้คงจะใช้กับผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรกล เครื่องยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่มีกลไกภายในซับซ้อน อะไหล่บางชิ้นย่อมต้องมีการเสื่อมสภาพไปตามอายุการใช้งานหรือการใช้งานในทางที่ผิด นักออกแบบย่อมที่จะต้องศึกษาถึงตำแหน่งในการจัดวางกลไกแต่ละชิ้นตลอดจนนอตสกรู เพื่อที่จะได้ออกแบบส่วนของฝาครอบบริเวณต่างๆ ให้สะดวกในการถอดซ่อมแซมหรือเปลี่ยนอะไหล่ง่าย

8 วัสดุและวิธีการผลิต

ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ผลิตด้วยวัสดุสังเคราะห์อาจมีกรรมวิธีการเลือกใช้วัสดุและวิธีผลิตได้หลายแบบแต่แบบหรือวิธีใดถึงจะเหมาะสมที่สุด ที่จะไม่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงกว่าที่ประมาณ ฉะนั้น นักออกแบบคงจะต้องศึกษาเรื่องวัสดุและวิธีผลิตให้ลึกซึ้งโดยเฉพาะวัสดุจำพวกพลาสติกในแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติทางกายภาพที่ต่างกันออกไป เช่น มีความใส ทนความร้อน ผิวมันวาว ทนกรดด่างได้ดี ไม่ลื่น เป็นต้น ก็ต้องเลือกให้คุณสมบัติดังกล่าวให้เหมาะสมกับคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่พึงมียิ่งในยุคสมัยนี้มีการรณรงค์ช่วยกันพิทักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยการใช้วัสดุที่นำกลับหมุนเวียนมาใช้ใหม่ก็ยิ่งทำให้นักออกแบบย่อมต้องมีบทบาทเพิ่มขึ้นอีกคือ เป็นผู้ช่วยพิทักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยการเลือกใช้วัสดุที่หมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้ที่เรียกว่า “ รีไซเคิล ”

9 การขนส่ง

นักออกแบบต้องคำนึงถึงการประหยัดค่าขนส่ง การขนส่งสะดวกหรือไม่ ระยะใกล้หรือระยะไกลกินเนื้อที่ในการขนส่งมากน้อยเพียงใด การขนส่งทางบกทางน้ำหรือทางอากาศต้องทำการบรรจุหีบห่ออย่างไร ถึงจะทำให้ผลิตภัณฑ์ไม่เกิดการเสียหายชำรุด ขนาดของตู้คอนเทนเนอร์บรรทุกสินค้าหรือเนื้อที่ที่ใช้ในการขนส่งมีขนาด กว้าง ยาว สูง เท่าไหร่ เป็นต้น หรือในกรณีที่ผลิตภัณฑ์ที่ทำการออกแบบมีขนาดใหญ่โตยาวมาก เช่น เตียง หรือพัดลมแบบตั้งพื้น นักออกแบบก็ควรที่จะคำนึงถึงเรื่องการขนส่ง ตั้งแต่ขั้นตอนของการออกแบบกันเลย คือ ออกแบบให้มีชิ้นส่วนสามารถถอดประกอบได้ง่าย สะดวก เพื่อทำให้หีบห่อมีขนาดเล็กสุดสามารถบรรจุได้ในลังที่เป็นขนาดมาตรฐานเพื่อการประหยัดค่าขนส่ง เมื่อผู้ซื้อซื้อไปก็สามารถที่จะขนส่งได้ด้วยตนเองนำกลับไปบ้านก็สามารถประกอบชิ้นส่วนให้เข้ารูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้โดยสะดวกด้วยตนเอง

เรื่องหลักการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ได้กล่าวมาทั้ง 9 ข้อนี้เป็นหลักการที่นักออกแบบผลิตภัณฑ์ต้องคำนึงถึงเป็นหลักการทางสากลที่ได้กล่าวไว้ในขอบเขตอย่างกว้าง ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ไว้ทั่วทุกกลุ่มทุกประเภทในผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดนั้น อาจจะไม่ต้องคำนึงหลักการดังกล่าวครบทุกข้อก็ได้ ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของผลิตภัณฑ์หรือผลิตภัณฑ์บางชนิดก็อาจจะต้องคำนึงถึงหลักการดังกล่าวครบถ้วนทุกข้อ เช่น ออกแบบผลิตภัณฑ์ไว้แขวนเสื้อ ก็คงจะเน้นหลักการด้านประโยชน์ใช้สอย ความสะดวกในการใช้และความสวยงามเป็นหลัก คงจะไม่ต้องไปคำนึงถึงด้านการซ่อมแซม เพราะไม่มีกลไกซับซ้อนอะไร หรือการขนส่ง เพราะขนาดจำกัดตามประโยชน์ใช้สอยบังคับ เป็นต้น ในขณะที่ผลิตภัณฑ์บางอย่าง เช่น ออกแบบผลิตภัณฑ์รถยนต์ ก็จำเป็นที่นักออกแบบจะต้องคำนึงถึงหลักการออกแบบผลิตภัณฑ์ครบทั้ง 9 ข้อ เป็นต้น




ขั้นตอนการออกแบบเทคโนโลยี

ขั้นตอนในการออกแบบ CAI
ขั้นตอนที่ 1 : ขั้นตอนการเตรียม
(Preparation)


ขั้นตอนนี้เป็นการเตรียมพร้อมก่อนที่จะทำการออกแบบบทเรียน ขั้นตอนนี้ผู้ออกแบบจะต้องเตรียมพร้อม ในเรื่องของความชัดเจน ในการกำหนดเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ การรวบรวมข้อมูล การเรียนรู้เนื้อหา เพื่อให้เกิดการสร้างหรือระดมความคิดในที่สุด ขั้นตอนการเตรียมนี้ถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากตอนหนึ่งที่ผู้ ออกแบบต้องใช้เวลาให้มาก เพราะการเตรียมพร้อมในส่วนนี้ จะทำให้ขั้นตอนต่อไปในการออกแบบเป็นไป อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนที่ 2 : ขั้นตอนการออกแบบบทเรียน
(Design Instruction)


เป็นขั้นตอนที่ครอบคลุมถึงการทอนความคิด การวิเคราะห์งาน แนวคิดการออกแบบขั้นแรก การประเมินและแก้ไขการออกแบบ ขั้นตอนการออกแบบบทเรียนนี้ เป็นขั้นตอนที่กำหนดว่า บทเรียนจะออกมาในลักษณะใด
ขั้นตอนที่ 3 : ขั้นตอนการเขียนผังงาน
(Flowchart Lesson)


ผังงานคือ ชุดของสัญลักษณ์ต่าง ๆ ซึ่งอธิบายขั้นตอนการทำงานของโปรแกรม การเขียนผังงานเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งนี้ก็เพราะคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ดี จะต้องมีปฏิสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ และสามารถถูกถ่ายทอดออกมาได้ อย่างชัดเจนที่สุด ในรูปของสัญลักษณ์ การเขียนผังงานจะนำเสนอลำดับขั้นตอน โครงสร้างของบทเรียน ผังงานทำหน้าที่เสนอข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรม เช่น อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนตอบคำถามผิด เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 4 : ขั้นตอนการสร้างสตอรี่บอร์ด
(Create Storyboard)


การสร้างสตอรี่บอร์ด เป็นขั้นตอนของการเตรียมการนำเสนอข้อความ ภาพ รวมทั้ง สื่อในรูปแบบ มัลติมีเดียต่าง ๆ ลงบนกระดาษ เพื่อให้การนำเสนอเป็นไปอย่างเหมาะสมบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ สตอรี่บอร์ดนำเสนอเนื้อหา และลักษณะของการนำเสนอขั้นตอนการสร้างสตอรี่บอร์ด รวมไปถึงการเขียน สคริปต์ ที่ผู้เรียนจะได้เห็นบนหน้าจอ ซึ่งได้แก่ เนื้อหา คำถาม ผลป้อนกลับ ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว ฯลฯ ในขั้นนี้ควรที่จะมีการประเมินผล และทบทวน แก้ไขบทเรียนจากสตอรี่บอร์ดนี้ จนกระทั่งผู้ร่วมทีมพอใจกับ คุณภาพของ

ขั้นตอนที่ 5 : ขั้นตอนการสร้าง / เขียนโปรแกรม
(Program Lesson)

เป็นกระบวนการเปลี่ยนสตอรี่บอร์ดให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การเขียนโปรแกรมนั้นหมายถึง การใช้โปรแกรมช่วยสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในการสร้างบทเรียน เช่น Multimedia ToolBook ในขั้นตอนนี้ผู้ออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จะต้อง รู้จักเลือกใช้โปรแกรมที่เหมาะสม การใช้โปรแกรมนี้ ผู้ใช้สามารถได้มาซึ่งงานที่ตรกับความต้องการและลดเวลาในการสร้างได้ส่วนหนึ่ง


ขั้นตอนที่ 6 : ขั้นตอนการผลิตเอกสารประกอบบทเรียน
(Produce Supporting Materials)

เอกสารประกอบการเรียนเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เอกสารประกอบการเรียนอาจแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ คู่มือการใช้ของผู้เรียน คู่มือการใช้ของผู้สอน คู่มือสำหรับการแก้ปัญหาเทคนิคต่างๆ และเอกสารประกอบเพิ่มเติมทั่วๆ ไป ผู้เรียนและผู้สอนมีความต้องการแตกต่างกันไป ดังนั้น คู่มือสำหรับผู้เรียน และผู้สอนจึงไม่เหมือนกัน

ตอนที่ 7 : ขั้นตอนการประเมินและแก้ไขบทเรียน
(Evaluate and Revise)
ในช่วงสุดท้าย บทเรียนและเอกสารประกอบทั้งหมด ควรที่จะได้รับการประเมิน โดยเฉพาะการประเมิน ในส่วนของการนำเสนอและการทำงานของบทเรียน ในส่วนของการนำเสนอนั้น ผู้ที่ควรจะทำการประเมินก็คือ ผู้ที่มีประสบการณ์ในการออกแบบมาก่อน ในการประเมินการทำงานของผู้ออกแบบ ควรที่จะทำการสังเกต พฤติกรรมของผู้เรียน ในขณะที่ใช้บทเรียนหรือสัมภาษณ์ผู้เรียนหลังการใช้บทเรียน

ความปลอดภัยในชีวิต

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ท่านจะให้ความร่วมมือกับตำรวจอย่างไร
เพื่อความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของท่าน

เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของท่าน โปรดให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังนี้ 1.ปฏิบัติตามคำแนะนำ ในคู่มือประชาชนเล่มนี้ และแผ่นปลิวแผ่นพับเกี่ยวกับการป้องกันอาชญากรรมประเภทต่าง ๆ  คำแนะนำเพื่อ                          ความปลอดภัยของบุตรหลาน, การป้องกันและระงับอัคคีภัย ,การป้องกันยาเสพติดให้โทษ ,คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้รถใช้ถนนที่ปลอดภัย 2.จดบันทึกรายการทรัพย์สินภายในบ้าน ตำหนิรูปพรรณ  หมายเลขเครื่อง หมายเลขทะเบียนทรัพย์สินที่มีค่าภายในบ้านของท่าน
 ทำเครื่องหมายหรือสลักหมายเลขบัตรประจำตัวของท่านลงบนทรัพย์สินเหล่านั้น  และทำบัญชีเก็บไว้ในที่มิดชิด และถ่ายรูปทรัพย์สินเหล่านั้นไว้ด้วย
(ตามแบบฟอร์มท้ายนี้) เพื่อง่ายต่อการแจ้งหายและผลในการติดตามและยืนยันแสดงความเป็นเจ้าของเมื่อตรวจพบของที่หายตลอดจนคนร้ายนำทรัพย์สินนั้น
ไปขายได้ยาก ถ้ามีรอยสลักเครื่องหมาย 3. เพื่อป้องกันโจรกรรมในเคหสถาน
(1) ตรวจสอบความแข็งแรงของกลอน ล็อกประตูหน้าต่างทุกบานทุกช่อง  กลอนธรรมดา  คนร้ายสามารถงัดออกได้ง่ายกว่ากุญแจที่มีกลอนล็อก 2 ชั้น
(2) กญแจให้เปลี่ยนทุกครั้งที่ย้ายบ้าน หรือเข้ามาอยู่ใหม่ หรือทุกครั้งที่กุญแจหาย
  • อย่าให้ลูกกุญแจสำรองกับผู้อื่น
  • อย่าเขียนข้อความติดกับลูกกุญแจที่แสดงว่าใช้กับประตูใด ให้จัดทำสมุดบันทึกส่วนตัวเพื่อบันทึกช่วยจำ
(3) เงินสด เครื่องประดับ ของมีค่าเก็บไว้ในที่ปลอดภัยและล็อกกุญแจให้เรียบร้อย 4. แสดงสว่าง
(1) เปิดไฟไว้ภายนอกรอบ ๆ อาคาร โดยเฉพาะที่ใกล้ประตูหน้าต่างให้สว่างตลอดคืน แต่สวิตซ์ ปิด เปิด จะต้องอยู่ภายในบ้าน และไฟจะต้องอยู่สูงเกินกว่าคนร้ายจะปีนขึ้นไปถอดออกได้ จะป้องกันมิให้คนร้ายเข้างัดประตูปหน้าต่างได้สะดวก
(2) เปิดไฟภายในบ้านเป็นบางห้องเพื่อให้คนร้ายลังเล 5. ในเวลากลางคืน ไม่ว่าท่านจะอยู่บ้านหรือไม่ก็ตาม ควรปิดม่านไว้ให้เรียบร้อย การเปิดม่านไว้จะทำให้คนร้ายล่วงรู้ได้ว่า ภายในบ้านมีคนอยู่หรือไม่ จำนวนเท่าใด มีทรัพย์สินมีค่าอยู่ที่ใด และง่ายต่อการเข้าโจรกรรม 6. การปลูกต้นไม้ใหญไว้ใกล้ชิดหน้าต่างบ้านมาก คนร้ายอาจใช้เป็นที่ซ่อนตัวในขณะที่ลงมืองัดประตูหรือหน้าต่าง 7. การแจ้งข่าวอาชญากรรม สามารถแจ้งโดยทางโทรศัพท์ ทางจดหมายไปยังสถานีตำรวจท้องที่ หรือไปพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือฝ่ายปกครองในท้องที่
(1) แจ้งข่าวก่อนเกิดเหตุ
  • เพื่อให้ทราบว่าใครมีพฤติการณ์เป็นคนร้าย ลักเล็กขโมยน้อย ลักโคกระบือ
  • ที่ใดเป็นที่ซ่องสุมหรือหลบซ่อนตัวของคนร้าย หรือแหล่งรับซื้อของโจร หรือแหล่งรับไถ่ถอนทรัพย์ที่หาย
  • ใครเป็นนักเลงอันธพาล ขี้ยา สูบฝิ่น สูบเฮโรอีน กัญชา สารระเหย
  • ที่ใดเป็นแหล่งค้ายาเสพติด
  • ใครเป็นมือปืนรับจ้าง
  • ใครเป็นคนแปลกหน้าที่มีพฤติการณ์น่าสงสัย
  • แหล่งล่อลวงหญิง
(2) แจ้งข่าวขณะเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ
  • แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันทีหากได้พบเห็นบุคคลซึ่งสงสัยว่าเป็นผู้กระทำผิดหรือพบความเคลื่อนไหวที่น่าสังสัย หรือพบยานพาหนะที่น่าสงสัยในบริเวณที่ชุมชนของท่าน และจดจำตำหนิรูปพรรณของคนที่ต้องสงสัยและพาหนะไว้ด้วย
  • ให้ข้อเท็จจริงกับตำรวจว่า ท่านได้พบเห็นเหตุการณ์อย่างไรขณะเกิดเหตุ (การจะโทรศัพท์แจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายหรือสถานีตำรวจอยู่ด้านหล้งคูมือนี้)
8. การเป็นพยานในคดี ถ้าท่านได้พบเห็นเหตุการณ์ขณะก่อนเกิดเหตุ-ขณะเกิดเหตุ หลังเกิดเหตุ อย่างไร โปรดให้ความร่วมมือเป็นพยานให้ข้อเท็จจริงกับตำรวจเพื่อยืนยันผู้กระทำผิดและจับกุมตัวมาดำเนินคดีฟ้องให้ศาลลงโทษต่อไป ถ้าหากท่านรู้เห็น แต่ไม่ยอมเป็นพยานก็เสมือนเป็นการช่วยเหลือคนร้ายหรือผู้กระทำผิดให้รอดพ้นจากการจับกุมและรอดพ้นจากการถูกลงโทษ คนร้ายก็จะออกมากระทำผิดต่อไปอีกเรื่อย ๆ และอาจจะมากระทำต่อท่านในที่สุด และก็จะทำให้คนร้ายเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกินขีดความสามารถที่ตำรวจจะป้องกันดูแลได้อย่างทั่วถึง 9. หากท่านประสบเหตุ จงพยายามจดจำและบันทึกตำหนิรูปพรรณของคนร้าย และยานพาหนะของคนร้าย ตลอดจนอาวุธที่คนร้ายใช้ (ตามคำแนะนำท้ายนี้) 10. ตามหมู่บ้านจัดสรร หรือหมู่บ้านในชนบทควรมีการจัดเวรยามหมู่บ้าน จัดตั้งด่านตรวจทางเข้าหมู่บ้าน โดยประสานงานกับตำรวจท้องที่ ในการฝึกอบรมและการจัดระบบการป้องกันควรมีการจัดระบบเตือนภัย โดยใช้กริ่งสัญญาณติดบ้านใกล้เคียง หรือกำหนดสัญญาณตีเกราะระดมชาวบ้านช่วยเหลือกัน 11. วัวควายตามหมู่บ้านในชนบท ควรจัดเป็นคอกรวมคอกและจัดเวรยามเฝ้าเพื่อป้องกันการถูกโจรกรรม 12. ในหมู่บ้านจัดสรร ที่มีการก่อสร้างจะมีคนงานเข้าออก หน่วยรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านควรประสานเจ้าของหมู่บ้าน และผู้รับเหมา และตำรวจท้องที่ จัดทำบัตประวัติคนงานมีรูปถ่ายและพิมพ์มือตรวจสอบประวัติเก็บไว้เป็นหลักฐานเพราะบางคนเคยมีประวัติในทางโจรกรรม จะได้ป้องกันไว้ก่อน (ตามแบบฟอร์มท้ายนี้) 13. เจ้าของบ้านควรจะได้มีการประสานกับหน่วยรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน และตำรวจท้องที่ถ่ายรูปทำประวัติ พิมพ์มือคนใช้ คนสวน คนขับรถ เก็บไว้กับเจ้าของบ้าน เมื่อมีเหตุการณ์จะได้ติดตามได้โดยง่าย (ดังแบบฟอร์มท้ายนี้) 14. ในกรณีที่เกิดอัคคีภัยโปรดแจ้ง ตำรวจดับเพลิง หรือเทศบาล สุขาภิบาล และตำรวจท้องที่โดยด่วน และปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัยในคู่มือนี้ และจะต้องมีการจัดเตรียมแผนป้องกันและระงับอัคคีภัยสำหรับสำนักงาน หมูบ้าน อาคารต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้า และมีการซักซ้อมให้เกิดความพร้อมตลอดจนตรวจสอบเครื่องมือเครื่องใช้ในการดับเพลิงและแหล่งน้ำที่ใกล้เคียง และมีการจัดแบ่งหน้าที่ไว้เป็นฝ่าย ๆ คือ
ฝ่ายดับไฟและจัดหาน้ำดับไฟ
ฝ่ายอพยพทรัพย์สิน
ฝ่ายช่วยเหลือ คนชรา เด็ก คนป่วย
ฝ่ายดูแลทรัพย์สินป้องกันถูกโจรกรรม
ฝ่ายนำคนเจ็บส่งสถานพยาบาล 15.ในกรณีที่ประสบอุบัติเหตุรถชนกันมีคนบาดเจ็บ หรือผ่านไปประสบเหตุ
(1) รีบแจ้งเหตุให้ตำรวจท้องที่หรือตำรวจท้องที่ใกล้เคียงที่สุดให้ทราบเหตุ
(2) ช่วยดูแลทรัพย์สินของผู้ประสบเหตุ
(3) ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ให้ถูกต้องตามวิธีปฐมพยาบาล โดยมีขั้นตอนดังนี้
  • ห้ามเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเป็นอันขาด จนกว่าจะแน่ใจว่าผู้ป่วยไม่มีกระดูกหัก
  • ถ้ามีอาการเลือดออกต้องห้ามเลือดก่อน
  • ถ้าหยุดหายใจต้องทำการผายปอด
  • ในกรณีคนไข้ยังไม่รู้สึกตัว ห้ามไม่ให้คนไข้ดื่มน้ำ หรือยาใด ๆ เป็นอันขาด
  • พยายรมให้ผู้ป่วยนอนศีรษะราบ ตะแคงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง เงยคางไว้ ถ้ามีอาเจียนเต็มปากต้องควักออกให้หมด
  • ผู้ทำการปฐมพยาบาลต้องรอบรู้ และมีความรู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาล มีสติ รู้จักดัดแปลงของใช้ เช่น ไม้กระดาน ผู้เช็ดหน้า ผู้ปูโต๊ะ เศษผ้า เชือก เศษไม้ นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์
  • ส่งผู้ป่วยไปรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไปจากโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
หมายเหตุ การปฐมพยาบาลที่ผิดวิธี โดยเฉพาะในรายที่กระดูกคอหัก กระดูกสันหลังหัก อาจทำให้คนไข้พิการตลอดชีวิต (ดูรายละเอียดเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลท้ายนี้) 16. การช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคนร้าย ประชาชนธรรมดาสามารถช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคนร้ายได้ (โปรดดูรายละเอียดในเรื่อง "ประชาชนธรรมดาจะจับกุมผู้กระทำผิดได้หรือไม่" ท้ายเรื่องนี้) 17. การรักษาที่เกิดเหตุและของกลางในคดี เมื่อเกิดเหตุคดีอาชญากรรม คนร้ายจะทิ้งร่องรอยหลักฐานไว้ในที่เกิดเหตุ ให้ช่วยกันรักษาสถานที่เกิดเหตุไว้ให้อยู่ในสภาพเดิม อย่าเคลื่อนย้ายทรัพย์สินใดๆ แล้วรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเดินทางมาตรวจที่เกิดเหตุโดยด่วน
  • ในกรณีของกลางบางอย่างอาจจะสูญหาย เพราะไม่มีผู้ใดเฝ้าดูแล เช่น อาวุธปืนของคนร้าย มีดที่คนร้ายใช้ทำร้ายตกในที่เกิดเหตุ ผู้พบเห็นอาจเก็บและนำส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ก่อน

องค์กาอนามัยโลก

 องค์การอนามัยโลกนับเป็นองค์การระหว่างประเทศองค์การหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยการดำเนินงานของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมขององค์การสหประชาชาติ โดยอาศัยแนวความคิดและการดำเนินงานขององค์การที่เกี่ยวข้องกับการอนามัยที่มีมาก่อน เช่น คณะมนตรีด้านอนามัย สำนักงานสาธารณสุขระหว่างประเทศและองค์การอนามัยแห่งสันนิบาตชาติ
        ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1946 คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจและสังคมขององค์การสหประชาชาติ ได้จัดให้มีการประชุมอนามัยระหว่างประเทศ เพื่อพิจารณาการจัดตั้งองค์การทางด้านอนามัยให้เป็นองค์การหลักองค์การเดียว ในการดำเนินกิจกรรมทางด้านอนามัยแทนสำนักงานสาธารณสุขระหว่างประเทศ และองค์การอนามัยแห่งสันนิบาตชาติ องค์การอนามัยโลกจึงได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1948 ซึ่งมีผลทำให้องค์การอนามัยโลกก้าวหน้าเข้ามาดำเนินกิจกรรมทางด้านอนามัยแทนสำนักงานสาธารณสุขระหว่างประเทศและองค์การอนามัยแห่งสันนิบาตชาติ

[แก้ไข] งานขององค์การอนามัยโลก

        แยกออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
  • 1. พยายามอำนวยความช่วยเหลือให้แก่ประเทศต่างๆ ตามความต้องการเมื่อได้ร้องขอมา
  • 2. จัดให้บริการด้านสุขภาพอนามัยแก่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก
  • 3. ส่งเสริมและประสานงานด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพต่างๆ อันไม่อาจดำเนินไปได้โดยลำพังแต่ละประเทศ

[แก้ไข] ความสำคัญของวันอนามัยโลก

        องค์การอนามัยโลกนับเป็นองค์กรระหว่างประเทศองค์การหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ และสังคมขององค์การสหประชาชาติ โดยอาศัยแนวความคิด และการดำเนินงานขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับการอนามัยที่มีมาก่อน

[แก้ไข] วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งองค์การอนามัยโลก

  • 1.เพื่อช่วยเหลือประชาชนทั่วโลกให้มีพลานามัยอยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่สามารถจะทำได้ทั้งในร่างกายและจิตใจ
  • 2. เพื่อประสานงานส่งเสริมการอนามัยระหว่างชาติ และร่วมมือกับรัฐบาลประเทศสมาชิกในการดำเนินงานตามโครงการอนามัยต่างๆ รวมทั้งกำหนดมาตรฐานยา และวัคซีน
  • 3. เพื่อให้บริการทางวิชาการในด้านอนามัยระหว่างประเทศและส่งเสริมการวิจัยทางการแพทย์

[แก้ไข] กำเนิดคำขวัญวันองค์การอนามัยโลก

        หลังจากที่ได้ประกาศใช้ธรรมนูญองค์การอนามัยโลก ในวันที่ 7 เมษายน 2491 แล้ว ที่ประชุมสมัชชาอนามัยโลก ได้มีมติให้มีการเฉลิมฉลองพร้อมกันทั่วโลกตั้งแต่ปี พ.ศ.2492 เป็นต้นมา
        โดยองค์การอนามัยโลกได้กำหนดข้อปัญหาทางอนามัย ขึ้นปีละหนึ่งเรื่อง สำหรับตั้งเป้าเป็นคำขวัญสั้นๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วโลก ใช้เป็นแนวทางในการให้สุขศึกษาแก่ประชาชนในวันอนามัยโลกแต่ละปี ซึ่งคำขวัญดังกล่าวเริ่มตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- กระทรวงสาธารณสุข
- ห้องสมุดโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
- สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วัดวีนไข้หวัดใหญ่ 2009

วัดวีนไข้หวัดใหญ่ 2009

รู้จักกับไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ของโลก A-2009 H1N1 .shareimg img{ border:0px; }
แบ่งปัน21 [Image]27เม.ย. ที่ผ่านมาสำนักข่าวต่างประเทศต่างพากันรายงานว่าที่กรุงเม็กซิโก ซิตีเมืองหลวงของประเทศเม็กซิโก ได้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ คือไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สายพันธุ์H1N1หรือที่เรียกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009ซึ่งหลังจากที่ได้แพร่ระบาดเข้าสู่สหรัฐอเมริการและแคนนาดาแล้วจึงได้กระจายไปสู่ภูมิภาคอื่นทั่วโลกอย่างรวดเร็วโดยองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้เพิ่มระดับเตือนภัยการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้เป็นระดับ 5 ซึ่งเป็นขั้นที่ตรวจพบว่ามีการแพร่เชื้อจากคนสู่คนในอย่างน้อย 2 ประเทศในภูมิภาคเดียวกัน หรือการติดเชื้อข้ามประเทศ เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 52 องค์การอนามัยโลก ได้ประกาศยกระดับการเตือนภัยไข้หวัดใหญ่ 2009 จากระดับ 5 เป็นระดับ 6 หรือระดับสูงสุดแล้ว เนื่องจากเริ่มต้นแพร่ระบาดไปทั่วโลกแล้ว อีกทั้งยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ ยุโรป อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย เอเชีย และภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 41 ปีที่มีการประกาศเตือนภัยไข้หวัดใหญ่ระบาดกว้างขวางทั่วโลกนอกจากนี้องค์การอนามัยยังประกาศให้เรียกชื่อโรคนี้อย่างเป็นทางการว่า โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดA H1N1 แทนการเรียกว่า ไข้หวัดหมูเช่นเดียวกับที่ก่อนหน้านี้สหรัฐ เรียกไข้หวัดสายพันธุ์ดังกล่าวว่า ไข้หวัดใหญ่ 2009 H1N1 เพื่อแก้ความเข้าใจผิดที่ว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้เกิดจากหมูรู้จักกับไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ของโลกดร.แนนซี่ ค็อกซ์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยไข้หวัดใหญ่ ศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐ กล่าวว่า ไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ชนิด A H1N1 นี้ มีลักษณะพันธุกรรมหรือยีน ที่ประกอบด้วยเชื้อไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์รวมอยู่ด้วยกัน ได้แก่ เชื้อไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์ เชื้อไข้หวัดนกที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ และ เชื้อไข้หวัดหมูที่พบบ่อยในทวีปยุโรปและเอเชีย
[Image]
โดยสันนิษฐานเบื้องต้นว่า เชื้อไข้หวัดพันธุ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม หรือ Antigenetic Shift โดยมีหมูที่เป็นพาหะนำโรค โดยการถูกเชื้อไวรัสไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู และไข้หวัดใหญ่ เข้าไปอยู่ในตัว ต่อมาเซลล์ในตัวหมูถูกไวรัสตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปโจมตี ทำให้หน่วยพันธุกรรมไวรัสดังกล่าวผสมปนเปกันระหว่างการแบ่งตัว กลายเป็นเชื้อพันธุ์ใหม่ขึ้นมาขณะเดียวกัน ก็มีรายงานว่า นายเอเดรียน กิบส์ ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยพัฒนายาต้านไวรัส ทามิฟลู ของบริษัทโรช และเป็นผู้ศึกษาวิวัฒนาการของเชื้อโรคมาเป็นเวลานานถึง 40 ปี เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์รายแรกๆที่วิเคราะห์ส่วนประกอบทางด้านพันธุกรรมเปิดเผยว่า เขาตั้งใจที่จะตีพิมพ์รายงานที่มีข้อมูลบ่งชี้ว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ จากไข่ที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เพาะไวรัสและบริษัทยาได้นำไปใช้เพื่อผลิตวัคซีนก็เป็นได้โดยนายกิบส์กล่าวว่า การชี้เบาะแสของต้นตอไวรัสอาจจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ทำความเข้าใจไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของการแพร่เชื้อและสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ซึ่งขณะนี้องค์การอนามัยโลกอยู่ในระหว่างการพิจารณารายงานฉบับนี้[Image]หมูไม่เกี่ยวน.พ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ผอ.สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดใหม่นี้ว่า แม้จะมีเชื้อตั้งต้นมาจากหมู แต่ระยะแพร่ระบาดคือ ติดต่อจากคนสู่คน ดังนั้นการบริโภคผลิตภัณฑ์จากหมูไม่มีอันตรายแต่อย่างใดทั้งนี้หากเปรียบเทียบกับ “ไข้หวัดนก” ที่เคยแพร่ระบาดในอดีต ซึ่งเป็นเชื้อที่ติดต่อจากสัตว์ปีกสู่คนได้นั้น จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ผู้ได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์นี้ มีอัตราเสียชีวิตร้อยละ 5-7 ซึ่งถือว่ายังน้อยกว่าอัตราของผู้เสียชีวิตของผู้ป่วยโรคไข้หวัดนก ข้อมูลที่น่าสนใจ1. ปัจจุบันมีเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่จำนวนมากในโลกและมีวัคซีนที่สามารถฉีดยาป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โดยแต่ละปีวัคซีนที่นำมาใช้เป็นไปตามเชื้อไวรัสที่น่าจะมีผลกระทบมากในปีนั้นๆ2. ไวรัส H1N1 หรือไวรัสของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่นี้ เป็นไวรัสที่ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็วและยังไม่มีวัคซีนป้องกัน3. ปัจจุบันยังไม่มีอันตรายที่น่าวิตกจนเกินไป โดยที่ผ่านมาผู้ที่ได้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 จะมีความรุนแรงต่อร่างกายน้อย น.พ. Belinda Ostrowsky จากศูนย์การแพทย์ Montefiore นิวยอร์ค กล่าวว่า มีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดชนิดนี้ เพียงเล็กน้อยในสหรัฐฯ หากเทียบกับยอดผู้เสียชีวิตด้วยไข้หวัดตามฤดูกาลประมาณ 2,000 คน จากทุกปี ด้านกระทรวงสาธารณะสุขของไทย ระบุว่า เชื้อดังกล่าวไม่มีความรุนแรงมาก โดยมีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่า 1% มีโอกาสหายเองได้เกิน 90 % และในส่วนที่ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 5-10% นั้น เนื่องจากมีโรคประจำตัว 4. ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพแข็งแรงและอาการไม่รุนแรง สามารถรักษาหายได้ด้วยภูมิต้านทานของร่างกาย ทั้งนี้หากเป็นผู้สูงอายุหรือเด็กจะมีความเสี่ยงมากกว่า[Image]อาการผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่เกิดขึ้นตามปกติ คือ มีไข้ขึ้นสูง ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ไอ คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยตามร่างกายรุนแรง ท้องร่วง และปวดศีรษะรุนแรง อาการป่วยจะพัฒนารวดเร็วและจะมีอาการหายใจลำบากอย่างรุนแรงภายใน 5 วัน ทั้งนี้อาจจะพบว่าผู้ที่รับเชื้อจะแสดงอาการไม่รุนแรง ข้อควรระวัง- ผู้ติดเชื้อมีภูมิต้านทานอ่อนแอ ได้แก่ เด็ก คนชรา และผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคภูมิแพ้ เป็นต้น จะมีผลกระทบต่อร่างกายมากกว่าคนธรรมดา ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ดังนั้นควรพบแพทย์เมื่อรู้สึกเป็นไข้ภายใน 2 วัน - กรณีที่มีอาการรุนแรง เกิดจากมีการอักเสบที่ปอด จนถึงขั้นเสียชีวิตได้- เด็กเล็กที่มีผู้ปกครองอาจได้รับทราบอาการป่วยช้า เนื่องจากเด็กไม่ได้บอกให้ทราบ
การติดต่อการแพร่ติดต่อเช่นเดียวกับโรคไข้หวัดใหญ่ในคน คือ1. แพร่ไปยังผู้อื่นโดยการไอ หรือจามรดกัน โดยที่เชื้อจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย 2. ติดจากมือและสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ และเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา หากนำมือที่มีเชื้อไปสัมผัสร่างกาย เช่น การแคะจมูก การขยี้ตาการป้องกัน1.ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิด เพื่อป้องกันเวลาจาม2.หมั่นล้างมือ3.หากมีอาการ ไข้อย่างรุนแรง และไข้ไม่ลดภายใน 2 วัน ควรรีบพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคนี้ รวมทั้งผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศที่มีการแพร่ระบาด 4. หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังสถานที่แอดอัด และงดเดินทางไปในประเทศที่มีการแพร่ระบาดของโรคนี้อย่างรุนแรง 5. รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ[Image]การรักษา
ในเอกสารเรื่องการแพร่ระบาดของไข้หวัดชนิดนี้ ที่กงสุลใหญ่ ในนครลอสแองเจลิสของสหรัฐ แสดงข้อมูลที่ระบุว่า สามารถใช้ยาชนิดเดียวกับยาไข้หวัดใหญ่ทั่วไปในการรักษาไข้หวัดชนิดเอ H1N1 ได้ คือ ยาโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) หรือ ทามิฟลู (Tamiflu) และยา zanamivir ซึ่งเป็นยาชนิดพ่น แต่ทั้งนี้ยาดังกล่าว ไม่สามารถป้องกันเชื้อไวรัสได้ทั้งนี้มีรายงานระบุว่าในสหรัฐอเมริกา ผลการตรวจเชื้อไวรัสชนิดนี้พบว่าเชื้อดังกล่าวดื้อยาต้านไวรัส amantadine และ rimantadineอย่างไรก็ตาม WHO ออกมายอมรับว่ายาทามิฟลูที่มีอยู่ในขณะนี้อาจไม่เพียงพอต่อการับมือกับการแพร่ระบาดที่อาจเพิ่มมากขึ้นข้อควรพิจารณา1. ไม่ควรเชื่อ หากมีการโฆษณาว่า เมื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไปแล้ว จะสามารถป้องกันไข้หวัดใหม่สายพันธุ์ใหม่ได้2. ค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจว่าผู้ป่วยเข้าข่ายติดเชื้อไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือไม่ ต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงมากสำหรับผู้มีฐานะยากจน คือประมาณ 4,000-8,000 บาท ดังนั้นจึงควรพิจารณาให้รอบคอบ หรือศึกษาข้อมูลด้วยตัวเองและปรึกษาแพทย์ก่อนสถานการณ์แพร่ระบาดวันที่ 12 มิ.ย. 52 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศยกระดับการเตือนภัยไข้หวัดใหญ่ 2009 จากระดับ 5 เป็นระดับ 6 หรือระดับสูงสุดแล้ว ซึ่งหมายถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดไปทั่วโลกแล้ว อีกทั้งยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ ยุโรป อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย เอเชีย และภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนั้น WHO ได้แนะนำให้บริษัทเวชภัณฑ์ที่ผลิตวัคซีนต่างๆ เร่งผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลให้เสร็จสิ้น ซึ่งจะเสร็จสิ้นภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า ก่อนหันไปผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งคาดว่าจะออกสู่ท้องตลาดอย่างเร็วที่สุดเดือนกย.ปีนี้ และ WHO จะเริ่มแจกยาต่อต้านไวรัส “ทามิฟลู” ให้ประเทศต่างๆ อีก 5.65 ล้านชุด เพิ่มเติมจากที่แจกไปแล้ว 5 ล้านชุด[Image]สถานการณ์ในประเทศไทยซึ่ง วันที่ 1 พ.ค. 52 นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่าที่ประชุมศูนย์บัญชาการเตรียมความพร้อมป้องกันและควบคุมแก้ไขสถานการณ์การระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ ให้สรุปใช้ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ 2009H1N1 และมีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพื่อให้ง่ายแก่การสื่อสารและสร้างความเข้าใจแก่สาธารณะวันที่ 15 มิ.ย.52 ศูนย์เฝ้าระวังและควบคุมไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ปรับเพิ่มระดับความรุนแรงของโรคดังกล่าวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย จากระดับ B เป็นระดับ C มาตรการเฝ้าระวังสธ.ใช้มาตรการแซนด์วิช คือมาตรการเฝ้าระวังโรคในกลุ่มที่เดินทางมาจากต่างประเทศทุกคนที่ด่านตรวจโรคประจำสนามบิน เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ ได้เพิ่มกำลังแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ประจำการจากวันละ 60 คน เป็นวันละเกือบ 100 คน ตลอด 24 ชั่วโมง และให้มีระบบการเชื่อมโยงส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยในรายที่มีไข้และเดินทางกลับจากต่างประเทศให้พื้นที่ต่างๆ ได้ติดตามดูแลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงตามด่านพรมแดนต่างๆ และการค้นหาผู้ป่วยในหมู่บ้านชุมชน และที่โรงพยาบาล คลินิก โรงพยาบาลเอกชน อย่างเข้มแข็ง เพื่อค้นหาผู้ป่วยให้พบอย่างรวดเร็ว ให้การดูแลรักษาและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อให้อยู่ในวงจำกัด ยาต้านไวรัสกระทรวงสาธารณะสุขได้มอบหมายให้องค์การเภสชักรรม(อภ.) เจรจากับบริษัทยาในประเทศอินเดียซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบการการผลิตยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ให้ยังคงราคาเดิมเป็นเวลา 1 เดือน เนื่องจากขณะนี้เกิดการระบาดทำให้หลายประเทศสั่งซื้อจำนวนมาก จนราคาวัตถุดิบปรับสูงขึ้น มาตรการด้านสำรองนั้นเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไวต่อยาโอเซลทามิเวียร์และยาซานามิเวียร์ เพราะยาทั้ง 2 ชนิดนี้ เป็นยาปฏิชีวนะกลุ่มเดียวกันที่ยับยั้งไม่ให้ไวรัสแตกตัว โดยผู้ป่วยที่ติดเชื้อต้องรับยาติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน วันละ 2 ครั้ง และต้องรับยาภายใน 48 ชั่วโมง เมื่อมีอาการ จึงจะได้ผลเต็มประสิทธิภาพ เพียงแต่ยาโอเซลทามิเวียร์เป็นยากินชนิดเม็ด ส่วนยาซานามิเวียร์เป็นยาพ่นกระทรวงสาธารณสุขปรับมาตรการในการป้องกันโรค มุ่งเน้นการให้ความรู้ประชาชนให้รู้จักการดูแลตนเองอย่างถูกวิธี คือ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ซึ่งมีอาการป่วยเล็กน้อย ให้หยุดพักเพื่อรักษาตัวที่บ้าน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ กินอาหารที่มีประโยชน์ และป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น โดยใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังไอ จาม และหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น แต่หากอาการรุนแรงขึ้น เช่น มีไข้สูง หรือไอมาก หรือหายใจลำบาก ให้ไปรักษาที่โรงพยาบาล สธ.ออกประกาศฉบับ 7 แนะประชาชนรับมือไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่วันที่ 13 มิ.ย. 52 ได้ออกคำแนะนำกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 7 เพื่อการป้องกันโรคสำหรับกลุ่มต่างๆ ซึ่งได้ปรับปรุงใหม่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และข้อมูลวิชาการที่ทันสมัย ในคำแนะนำดังกล่าว สำหรับประชาชนทั่วไปเน้นการป้องกันตนเอง ไม่ให้ป่วย และการป้องกันการแพร่เชื้อจากผู้ป่วย สำหรับสถานศึกษา สถานประกอบการ และสถานที่ทำงาน เน้นการให้นักเรียนหรือพนักงานที่มีอาการป่วยหยุดเรียนหรือหยุดงาน เพื่อไม่ให้จำเป็นต้องปิดสถานศึกษาหรือสถานประกอบการ โดยสามารถ ดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.moph.go.th ทั้งนี้หากประชาชนต้องการข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข www.moph.go.th หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ปฏิบัติการ กรมควบคุมโรค หมายเลขโทรศัพท์ 02 -590-3333  และที่ศูนย์บริการข้อมูลฮอตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข หมายเลข 02-590-1994ตลอด 24 ชั่วโมงศิริราชถอดรหัสพันธุกรรมไวรัส ได้โรงพยาบาลศิริราช แถลงผลสำเร็จการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ครั้งแรกของไทย ซึ่งจะนำไปสู่การวินิจฉัยโรคที่เร็วขึ้นและนำไปสู่การพัฒนาวัคซีนและยาต้านไวรัสสายพันธุ์ H1N1 ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในอนาคตทั้งนี้เป็นความสำเร็จจากการตรวจและศึกษาการระบาดของไข้หวัดใหญ่มานานกว่า 30 ปี ซึ่งการตรวจหาเชื้อ H1N1 นั้นโรงพยาบาลศิริราชสามารถตรวจหาได้ภายใน 24 ชั่วโมงและสามารถวิเคราะห์ลำดับนิวคลิโอไทด์เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของเชื้อได้ภายใน 3 วันอย่างไรก็ตาม แม้ว่าการวิจัยดังกล่าว จะสามรถต่อยอดไปถึงขั้นการผลิตวัคซีนป้องกันได้ แต่คงไม่ทันต่อผลิตวัคซีน เพื่อป้องกันโรคไข้หวัดสายพันธุ์ที่กำลังทีระบาดอยู่ขณะนี้ [Image]รพ.รามาพัฒนาชุดตวจเชื้อ all-in-oneวันที่ 15 พ.ค. โรงพยาบาลรามาธิบดี เผยผลสำเร็จ ในการพัฒนา “ชุดตรวจเชื้อไข้หวัดใหญ่”แบบออล-อิน-วัน ซึ่งสามารถตรวจเชื้อไข้หวัดทุกสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ในปัจจุบันได้พร้อมกันในครั้งเดียว โดยรู้ผลภายใน 4 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ไข้หวัดนก(เอช5เอ็น1) ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 (เอช1เอ็น1) รวมถึงเชื้อไวรัสที่ดื้อยา แพทย์เตือนอย่ากินยาลดไข้ก่อนลงเครื่อง นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเตือนกลุ่มผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศว่า ไม่ควรกินยาลดไข้ก่อนลงเครื่อง ซึ่งหลายคนกลัวหากมีไข้ จะถูกกักตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะหากป่วยจากเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่จริง จะเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต หากไม่ได้รับการดูแลจากแพทย์ ทั้งยังจะแพร่เชื้อให้คนรอบข้างได้ แต่หากได้รับการรักษาทันเวลา ก็จะหายขาดสถานการณ์โรคในประเทศไทย จากการคำนวณทางระบาดวิทยาคาดว่าในประเทศไทย มีผู้ป่วยขณะนี้ 3.5-5 แสนคน และตั้งแต่วันที่ 26 ก.ค.- 2 ส.ค. ที่ผ่านมามีผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 16 ราย ชาย 9 ราย หญิง 7 ราย ลดลงจากสัปดาห์ก่อน 5 ราย ในจำนวนร้อยละ 75 คือ 12 ใน 16 ราย มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หอบหืด อ้วน สูบบุหรี่จัด และหัวใจพิการตั้งแต่กำเนิด และเป็นหญิงตั้งครรภ์ 1 ราย ทั้งนี้ที่เหลือ  4 ราย เป็นผู้ป่วยที่ไม่มีโรคประจำตัวมาก่อน สุขภาพร่างกายปกติ และหากดูสถานการณ์ทั่วโลก โดย ผอ.องค์การอนามัยโลกยืนยันว่า ในผู้ที่มีสุขภาพดีก็เสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่  2009 ได้เช่นกัน ทั้งนี้เมื่อรวมกับผู้เสียชีวิตก่อนหน้านี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตสะสม 81 รายแนวโน้มการระบาด
ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ฤดูกาลการระบาดของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ในปีนี้ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ส่วนใหญ่ จะเป็นผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอ็ช1 เอ็น1 อาจมีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลอยู่บ้าง จากข้อมูลที่มีอยู่ในขณะนี้ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอ็ช1 เอ็น1 อาจมีความรุนแรง (อัตราป่วยตาย) ใกล้เคียงกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล และไม่ได้รุนแรงเท่ากับข้อมูลที่ได้รับทราบจากข่าวการระบาดในเม็กซิโกระยะเริ่มต้น แต่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอ็ช1 เอ็น1 มีความสามารถในการแพร่กระจายไปได้กว้างขวางกว่าไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีภูมิต้านทานโรค ขณะนี้ยังคงอยู่ในช่วงต้นของการระบาด และการระบาดจะขยายตัวต่อไปอย่างรวดเร็ว ไปทั่วประเทศ และทุกชุมชน การระบาดในกรุงเทพและปริมณฑล เริ่มจากการระบาดในโรงเรียน การระบาดในระยะต่อไป คาดว่าจะเป็นการระบาดในครอบครัวของผู้ป่วย (พ่อ แม่ พี่ น้อง ผู้สูงอายุที่อยู่ร่วมบ้าน) และการระบาดในโรงพยาบาล และคาดว่าในระยะต่อไปจะเป็นการระบาดในสถานที่ทำงาน ซึ่งเกิดจากการที่พ่อแม่ของเด็กป่วยไปแพร่เชื้อในที่ทำงานนั่นเอง รูปแบบการระบาดของแต่ละพื้นที่อาจมีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน การแพร่ระบาดคาดว่าจะต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง จากข้อมูลการระบาดในอดีต คาดว่าการระบาดจะยังอยู่ในประเทศต่อไปอีก ไม่ต่ำกว่า 1-3 ปี ในปีนี้ (พ.ศ. 2552) จะมีจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ทั้งหมดสูงกว่าปีก่อนๆ และคาดว่าการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอ็ช1 เอ็น1 จะทำมีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมากกว่าการเกิดไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล กระทรวงสาธารณสุข แจ้งว่า ต่อจากนี้จะยึดตามหลักขององค์การอนามัยโลก ที่จะรายงานยอดผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตเป็นรายสัปดาห์ โดยข้อมูลล่าสุดที่มีรายงานจากองค์การอนามัยโลก ณ วันที่ 6 ก.ค. 52 มีผู้ติดเชื้อจาก 136 ประเทศ รวม  94,512 ราย เสียชีวิต 429 ราย เป็นอัตราป่วยตายร้อยละ 0.45 (รายละเอียดตามตาราง)[Image]ความคิดเห็นไข้หวัดใหญ๋สายพันธุ์ใหม่ 2009 ระวังได้ แต่ต้องไม่ระแวงแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุด กล่าวว่า หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้ยินการประชาสัมพันธ์อย่างหนาหูเกี่ยวกับการให้ความรู้เรื่องการดูแลร่างกายให้แข็งแรงเพื่อที่จะอยู่ร่วมกับเชื้อโรคพันธุ์ใหม่ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ซึ่งก็คงจะถึงเวลาที่ทุกคนจะเริ่มกลับมารักและดูแลตัวเอง ตลอดจนเพื่อนร่วมสังคมกันเสียที เพราะต่อไปอาจจะมีเชื้อโรคพันธุ์ใหม่ๆ เกิดตามมาอีกแต่เรื่องราวเหล่านี้เราเรียนรู้ได้ และถ้าเราจะลองเฝ้าสังเกตชีวิตของเราทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆกับการเรียนรู้เรื่องการเผชิญโลกอย่างที่โลกเป็นอย่างม่เป็นทุกข์ ก็จะทำให้เราได้บทเรียนร่วมกัน ทั้งนี้ สังคมต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์เรื่องการเฝ้าสังเกตอย่างมีสติให้กว้างขวาง คือในทุกเช้าที่เราตื่ขึ้นมา เราต้องสำรวจร่างกาย เพื่อฝึกกายานุปัสสนาภาวนา ให้เห็นความไม่เที่ยงในการใช้ชีวิตในฝ่ายของกายเราได้สังเกตเห็นทว่าในขณะที่สังเกต จิตใจของเราต้องไม่ระแวง เราก็จะเริ่มอยู่กับมันได้อย่างระวัง ซึ่งเป็นการระวังอยู่บนพื้นฐานที่ปราศจากความหวาดกลัว แต่ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วเราระแวงว่าเราจะเป็นโน่นหรือไม่ เราจะเป็นนี่หรือเปล่า ชีวิตของเราในวันนั้นก็จะดำเนินอยู่ด้วยความหวาดกลัว ฉะนั้นเรื่องการมีสติอารักขาจิตที่จะอยู่กับเรื่องที่ต้องเผชิญในโลกของความป็นจริงข้าพเจ้าเองก็ได้มีประสบการณ์ของการเฝ้าสังเกตในวันที่ต้องเผชิญกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ก็พบว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะการเฝ้าสังเกตอย่างมีสตินั้นเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เราอยู่กับความเจ็บป่วยทางกายอย่างระวัง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราที่จะยอมรับในสิ่งที่เราต้องเรียนรู้กับมัน เพราะมันเป็นไวรัสที่เข้ามาอยู่ในร่างกายเรา ถ้าเราใช้ร่างกายของเราอย่างมีสติ ก็จะเห็นว่าสิ่งนี้จะดำรงอยู่ในชีวิตของเราอย่างมีกุศลร่วมกันไปได้ เช่น เมื่อมีอาการปวดเมื่อยทางกาย เราก็รู้ว่ามันปวด แต่ไม่มีความกลัวทางจิตใจของเรา และความปวดนั้นจะค่อยๆคลี่คลายไป ซึ่งเราเข้าใจเหตุปัจจัยแห่งการเกิดของมันอย่างไม่ปรุงแต่งอย่างมีอวิชชาด้วยความกลัว ถ้าเราเฝ้าสังเกตร่างกายของเราให้มากขึ้นด้วยศักยภาพในที่มีความแข็งแรงทางจิตใจที่จะเรียนรู้กับมันแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าเวทนาททางกายก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเราคงต้องบอกให้คนในสังคมอยู่ร่วมกับสิ่งที่ต้องเผชิญอย่างคนที่มีภูมิคุ้มกันด้านในที่ไม่บกพร่อง ยาอาจจะเป็นเครื่องมือที่จะจัดการกับไวรัส แต่สติปัญญาจะเป็นเครื่องมือให้เราอยู่กับไวรัสอย่างเห็นความเปลี่ยนแปลงทางกาย แต่ไม่ทรมานใจสั่งหยุดรายงานป่วยตามรายวัน เมื่อ 14 ก.ค. 52 นายอภิสิทธิ์กล่าวในรายการพิเศษ “ฝ่าภัยไข้หวัดใหญ่ 2009” ทางช่อง สทท. ว่า รัฐบาลใส่ใจเรื่องนี้ซึ่งส่วนตัวแล้วใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงติดตามข้อมูล รวมทั้งดูแนวโน้มตามต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม มีสองเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจ อย่างแรกคือ ทุกคนมีความเสี่ยงเหมือนกันหมด เพราะเป็นเรื่องเกิดใหม่ ไม่มีใครมีภูมิคุ้มกัน เมื่อระบาดแล้ว หลายประเทศประกาศทางการ ว่าไม่สามารถหยุดยั้งได้และเป็นไปได้อย่างสูงว่าโรคนี้จะอยู่กับเราเป็นปีและมีผู้ติดเชื้อมากขึ้น“ส่วนปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการตรวจเชื้อหวัดนั้น เห็นว่าคนไทยทุกคนมีสิทธิทางใดทางหนึ่งควบคุมโรคนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิทธิข้าราชการ สิทธิประกันสังคม หริสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า ถ้าแพทย์ตัดสินใจส่งเชื้อไปตรวจ ผู้ป่วยจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ถ้าเป็นความต้องการของผู้ป่วยเอง ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย”นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ถ้าบังคับให้ประชาชนทุกคนใส่หน้ากาก ซึ่งต้องเปลี่ยนอยู่บ่อยๆ รัฐบาลต้องซื้อแจก แต่ต้องยอมรับว่ารัฐบาลไม่สามารถซื้อหน้ากากแจก 63 ล้านคนได้ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าหน่วยไวรัสวิทยาและจุลชีวโมเลกุล คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ตัวอย่างผู้ป่วยส่งตรวจที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ประมาณ 10,000 ตัวอย่าง เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ถึง 80% ส่วนอีก 20% เป็นไข้หวัดตามฤดูกาลดร.วสันต์ กล่าวต่อว่า นอกจากการให้บริการตรวจยืนยันโรคแล้ว โรงพยาบาลรามาธิบดียังมีการตรวจการดื้อยาและถอดรหัสพันธุกรมมเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ พบว่าปัจจุบันยังไม่มีการดื้อยา อาจเป็นเพราะว่าที่ผ่านมาการใช้ยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ในประเทศไทยยังไม่มีการใช้มากเหมือนในต่างประเทศ แต่เชื่อว่าหลังจากนี้ประมาณ 3-6 เดิอนอาจพบการดื้อยาเกิดขึ้น ซึ่งเป็นธรรมชาติขิงไวรัส แต่ในขณะนี้ในสหรัฐมีการดื้อต่อโอเซลทามิเวียร์ประมาณ 80-90% แล้วขณะที่ นายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า จะเสนอให้ ครม.ทุกคนใส่หน้ากากอนามัยเข้าร่วมประชุม ครม.ทุกครั้ง เพื่อเป็นแบบอย่างรณรงค์ให้ประชาชนใส่หน้ากากอนามัย เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโรคไข้หวัด 2009 ซึ่งเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่ ครม.ควรเป็นแบบอย่างรณรงค์ให้คนไทยใส่หน้ากากอนามัยตามสถานที่ต่างๆ เช่นโรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า โดยจะประสานงานไปยังกระทรวงมหาดไทย ให้กลุ่มโอทอปผลิตหน้ากากอนามัยที่ทำจากผ้ามาแจกให้ประชาชนต่อไป ส่วรการตรวจหาเชื้อไข้หวัด 2009นั้น จะให้โรงพยาบาลเอกชนคิดค่าตรวจอยู่ที่ 3,500 บาทต่อตัวอย่างเท่านั้น ส่วนโรงพยาบาลรัฐจะให้ตรวจฟรีจากนั้น นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม.ว่า ครม.อนุมัติงบประมาณ 850 ล้านบาท เพื่อสั่งซื้อยาโอเซทามิเวียร์ 10 ล้านเม็ด วงเงิน 250 ล้านบาท พร้อมกับสั่งจองวัคซีนป้องกันไข้หวัด จากบริษัทซาโนฟีปาสเตอร์ จำกัด จำนวน 2 ล้านโดส วงเงิน 600 ล้านบาท โดยกำหนดส่งมองวัคซีนไนเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2552 ภายใต้เงื่อนไขว่า บริษัทดังกล่าวไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบในผลิตภัณฑ์กรณีหากเกิดผลข้างคียงจากการใช้วัคซีน เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตแจ้งว่า วัคซีนนี้ผลิตเพื่อใช้ในสถานการณืฉุกเฉิน มีประเทศสั่งจองจำนวนมาก ซึ่งต้องมีการผลิตยาจำนวนมาก จึงไม่ขอรับผิดชอบหากเกิดผลข้างเคียงนพ.ภูมินทร์กล่าวว่า ช่วงที่ยังไม่มีการส่งมอบวัคซีนนี้มายังประเทศไทย จะมรการทดลองใช้วัคซีนนี้ในยุโรปไปเรื่อยๆ คาดว่ากว่าที่วัคซีนจะมาถึงเมืองไทยคงทราบแล้วว่าจะมีผลข้างเคียงหรือไม่ ทั้งนี้โดยทางการแพทย์แล้ว พบว่าวัคซีนทั่วไปมีความเสี่ยงจะเกิดผลข้างเคียงในอัตรา 1 ต่อล้าน มีตั้งแต่เป็นผดผื่นจนถึงพิการเสียชีวิต แต่วัคซีนนี้ยังไม่มีใครทราบว่าจะมีความเสี่ยงหรือมีผลข้างเคียงอย่างไร แต่ที่ผ่านมาสหรัฐฯเคยใช้วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์อื่นมาใช้กับคน พบว่ามีผลข้างเคียงให้คนเป็นอัมพฤกษ์กว่า 100 คน ถือว่าเป็นฝันร้ายที่ต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อมา นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยความคืบหน้าสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ว่า ตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.-14 ก.ค. 2552 มีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ รวมทั้งสอ้น 4,057 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย รวมทั้งหมด 24 ราย เฉพาะในวันนี้ได้รับการรายงานผลการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการพบติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ เพิ่ม 176 รายน.พ.ไกรจักร แก้วนิล รองปลัด กทม. ที่สั่งให้โรงพยาบาลที่สังกัด กทม. ให้ยาทามิฟลู แก่ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษา โดยไม่ต้องรอผลยืนยันการตรวจเสียก่อนว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 หรือไม่ เหมือนอย่างที่กระทรวงสาธารณสุขทำ เพื่อป้องกันการติดโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อที่ปอด นี่คือวิธีการรับมือที่ถูกต้อง ป้องกันด้วยและรักษาด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้ตายเสียก่อนแล้วโทษว่าเป็นโรคแทรกซ้อนส่วนสถานการณืทั่วโลก นางมารี-ปอล คีนี ผู้อพนวยการด้านวิจัยวัคซีนขององค์การอนามัยโลก (ฮู) กล่าวว่า ขณะนี้การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ไม่สามารถหยุดยั้งได้แล้วและทุกประเทศจำเป็ฯต้องมีวัคซีนเอาไว้ป้องกันตัวเอง โดยคำกล่าวนี้มีขึ้นในช่วงที่อังกฤษ บราซิล โคลัมเบีย เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ และประเทศไทยต่างมีรายงานผู้เสียชีวิตพร้อมกันกว่า 10 คน เมื่อวันจันทร์นางมารี กล่าวอีกว่า วัคซีนป้องกันหวัดชนิดนี้ ควรมีใช้อย่างเร็วที่สุดในเดือนกันยายน และทุกประเทศจำเป็นต้องมีวัคซีนไว้เพื่อป้องกันตัวเอง โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขคือคนกลุ่มแรกที่ควรได้รับวัคซีน เพราะคนกลุ่มนี้จะป็นที่ต้องการมากขึ้นหากมีคนติดเชื่อไม่หยุด ส่วนกลุ่มคนสำคัญกลุ่มอื่นๆ ควรเป็นกลุ่มหญิงท้อง หรือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปสถิติล่าสุดขององค์การอนามัยโลกระบุว่า พบผู้ป่วยแล้วไม่ต่ำกว่า 9 หมื่นคนทั่วโลก ในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้ว 429 คน ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง โดยประเทศที่พบผู้เสียชีวิตรายใหม่มากที่สุดอยู่ในเอเชีย ได้แก่ ประเทศไทย 3 คน และฟิลิปปินส์อีก 2 คน ขณะที่มีเม็กซิโกเสียชีวิตเพิ่มอีก 3 คน ส่งผลให้ยอดเสียชีวิตรวมในแดนจังโก้อยู่ที่ 124 คน ส่วนประเทศต้องเตรียมตัวรับมือกับผู้คนมากถึง 2 ล้านคน ที่เตรียมตัวเดินทางไปแสวงบุญในนครเมกกะ และเมืองเมดินาในอีก 5 เดือนข้างหน้าคำแนะนำในการป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 (ล่าสุด)1. รัฐควรกำหนดมาตรการป้องกันเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ก่อนที่การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จะรุนแรงจนถึงขั้นต้องปิดประเทศ เช่น การกำหนดพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น โรงเรียน โรงงาน โรงมหรสพ ห้างสรรพสินค้า สถานที่ราชการ รถโดยสารสาธารณะ เป็นต้น โดยให้เจ้าของพื้นที่ ดูแล ทำความสะอาด และบุคคลที่จะเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงนี้ ต้องใช้ผ้าปิดจมูก-ปาก ทุกคน รวมทั้งให้มีการทำความสะอาดมือก่อนที่จะเข้าพื้นที่ด้วย2. ประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีโรคประจะตัวเกี่ยวกับปอด หัวใจ ไต เบาหวาน ภูมิแพ้ อ้วน เด็กและคนชรา ควรฉีดวัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่(ประจำปี ) แล้วขอหลักฐานเก็บไว้ หลังจากฉีดวัคซีนแล้ว 2สัปดาห์ จะมีผลในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไป (แต่ไม่เกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009) ดังนั้น หากเกิดมีอาการเช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ขึ้นมา ก็สามารถคาดเดาได้ว่า 90% น่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แล้วให้รีบไปตรวจที่โรงพยาบาล แสดงหลักฐานที่เคยฉีดวัคซีนไว้แล้ว แพทย์จะได้ตัดสินใจสั่งจ่ายยารักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009ให้- ค่าฉีดวัคซีนฯ ประมาณ600บาท/คน ค่ายารักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จำนวน 10 เม็ด ประมาณ 2,000 บาท/คน- ถ้าไม่ได้ฉีดวัคซีนฯ เมื่อเกิดอาการเป็นไข้หวัดใหญ่ ถ้าไปที่โรงพยาบาลเอกชนที่มีเครื่องมือตรวจ และขอให้ทำการตรวจว่า เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือไม่ โดยจะเสียค่าตรวจประมาณ 3,500-5,000 บาท ซึ่งจะทราบผลประมาณ 1 วัน เมื่อตรวจพบว่า “เป็น” ต้องเสียค่ายาเพิ่มประมาณ 2,000 บาท/คน (ไม่รวมค่าอื่นๆ)- ถ้าไม่ได้ฉีดวัคซีนฯ เมื่อเกิดอาการเป็นไข้หวัดใหญ่ ถ้าไปที่โรงพยาบาลรัฐ หากแพทย์วินิจฉัยเห็นว่า มีอาการที่สมควรต้องตรวจว่า เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือเปล่านั้น ต้องใช้เวลาหลายวันจึงจะทราบผล เนื่องจากมีคิวยาว- การที่คนไข้จะขอซื้อยารักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพื่อรักษาตนเองนั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์3. เฉพาะในช่วงที่มีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงอยู่ในขณะนี้- รัฐควรแจกผ้าปิดปาก-จมูก ให้ประชาชนมากที่สุด- รัฐควรออกเงินให้สำหรับค่าตรวจ ว่าเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือเปล่า รวมทั้งค่ายาในการรักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพราะคนที่ใช้บัตร 30บาทและประกันสังคม ในความเป็นจริงมักไม่ได้รับโอกาสเหมือนคนที่ใช้เงินสดในการรักษพยาบาล (ค่าใช้จ่ายไม่มากไปกว่า การขาดทุนจำนำข้าว การซื้อเครื่องบินไอพ่น เรือดำน้ำ รถหุ้มเกาะ หรือ งบประมาณเดินทางไปดูงานยังต่างประเทศของนักการเมืองและข้าราชการ อย่างแน่นอน)-    การทำให้ประชาชนเลิกวิตกหวาดกลัว และเกิดความเชื่อมั่นในความปลอดภัย เมื่อผลการตรวจที่ รพ.รามาธิบดี พบว่าผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่สุงถึง 80% ของจำนวนผู้ตรวจเชื้อ รัฐควรออกมาตรการรักษา โดยให้แพทย์สั่งจ่ายยารักษาทันทีที่ผู้ป่วยที่มาตรวจมีอาการข้อนข้างรุนแรง หรือมีโรคแทรกซ้อน (ไม่ว่ามีอาการรุนแรงหรือไม่) อย่างลืมว่าลักษณะพิเศษของโรคนี้คือติดต่อง่ายและตายเร็วเมื่อเชื้อลงสู่ปอด ควรให้โอกาสการรักษาพยาบาลกับประชาชนคนธรรมดาเท่าคนรวยและผู้ใหญ่ในบ้านเมือง อย่าปล่อยให้พวกเขาเสี่ยงกับความตาย ด้วยเหตุผลที่ว่าโรคนี้มีอัตราการตายน้อย

ออด์ ยูเนสโก๊

อาร์คดยุคเฟลิกซ์แห่งออสเตรีย (พระนามเต็ม: เฟลิกซ์ เฟรเดอริค ออกัส มาเรีย วอม เซียจ ฟรานซ์ โจเซฟ ปีเตอร์ คาร์ล แอนตัน โรเบิร์ต อ๊อตโต้ พิอุส ไมเคิล เบเนดิกต์ เซบัสเตียน อิกเนเชียส, ภาษาอังกฤษ: Felix Friedrich August Maria vom Siege Franz Joseph Peter Karl Anton Robert Otto Pius Michael Benedikt Sebastian Ignatius von Habsburg-Lorraine) ทรงประสูติเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2459พระราชวังเชินบรุนน์ ประเทศออสเตรีย ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 3 และพระราชบุตรองค์ที่ 4 ในสมเด็จพระจักรพรรดิคาร์ลที่ 1 และสมเด็จพระจักรพรรดินีซีต้าแห่งออสเตรีย
พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับ แอนนา-ยูจีนี่ พอลลีน กาเบรียล โรเบิร์ตไทน์ มารี เดอ เมอร์ซีเดส-เมลชอร์ เจ้าหญิงแห่งอาเรนเบิร์ก ซึ่งเป็นพระธิดาองค์สุดท้องใน เจ้าชายโรเบิร์ต-พรอสเพอร์แห่งอาเรนเบิร์ก และเจ้าหญิงกาเบรียลแห่งเวรด เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 ณ วิหารโบลิแยร์ ประเทศฝรั่งเศส ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระธิดา 4 พระองค์และพระโอรส 3 พระองค์ รวมทั้งสิ้น 7 พระองค์ ดังนี้
  • อาร์คดัชเชส มาเรีย เดล พีลาร์ โซฟี วาเลอรี ชาร์ลอต ซีต้า โจฮันนา (Maria del Pilar Sophie Valerie Charlotte Zita Johanna von Habsburg-Lothringen) ประสูติเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2496 ทรงอภิเษกสมรสกับ วอล์ราด โจคิม จอร์ช กืนเตอร์แห่งพอสชินเจอร์ ทรงมีพระโอรส-พระธิดารวมทั้งสิ้น 5 พระองค์
    • คิงก้า เอลิซาเบธ มารี โจเซฟ่า ซีต้า เบเนดิกต้า แคสปาร่าแห่งพอสชินเจอร์ เกิดเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2524
    • คาร์ล ลุดวิก โจฮันเนส เฮอร์มันน์ โจเซฟ มาเรีย เมลชอร์แห่งพอสชินเจอร์ เกิดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2525
    • มาเรีย เบเนดิกต้า ยูจีนี่ โจเซฟ่า สเตฟานี่ บัลธาซาร่าแห่งพอสชินเจอร์ เกิดเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2526
    • ฟรานซิสก้า มาเรีย โซเฟีย โจเซฟ่า แคสปาร่าแห่งพอสชินเจอร์ เกิดเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2530
    • แอนโตเนีย โจเซฟ่าแห่งพอสชินเจอร์ เกิดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2534
  • อาร์คดยุค คาร์ล ฟิลลิป มาเรีย อ๊อตโต้ ลูคัส (Karl Philipp Maria Otto Lukas von Habsburg-Lothringen) ประสูติเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2497 ทรงอภิเษกสมรสครั้งแรกกับมาร์ติน่า โดแน็ท ทรงมีพระโอรส 1 พระองค์ ต่อมาทรงหย่าเมื่อปีพ.ศ. 2540 และทรงอภิเษกสมรสอีกครั้งกับ แอนนี่ แคลร์ คริสตีน ลาครอมบ์ ทรงมีพระโอรสอีก 1 พระองค์ ดังนี้
    • อาร์คดยุค จูเลียน ลอร์เรนท์ ปีเตอร์ (Julien Laurent Peter von Habsburg-Lorraine) ประสูติเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2537
    • อาร์คดยุค หลุยส์-ดาเมียน อองรี มาเรีย (Louis-Damian Henri Maria von Habsburg-Lorraine) ประสูติเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2541
  • อาร์คดัชเชส คิงก้า บาร์บาร่า มาเรีย คาร์โลต้า จาโคเบีย (Kinga Barbara Maria Carlota Jakobea von Habsburg-Lothringen) ประสูติเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2498 ทรงอภิเษกสมรสกับ ท่านชายโวล์ฟแกงค์ ฮิวเบอร์ต เฮอร์มันน์แห่งเออร์ฟ่า ทรงมีพระโอรส-ธิดารวมทั้งสิ้น 5 พระองค์ ดังนี้
    • ซีต้า มาเรีย เดล พิลาร์ ชาร์ลอต โดนาซีเอน่า แคสปาร่า แห่งเออร์ฟ่า เกิดเมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2529
    • ฮิวเบอร์ต แลสโล่ เรเนโต้ มาเรีย เมลชอร์ ฮาร์ทมันน์ แห่งเออร์ฟ่า เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2531
    • มาเรีย แอสซันต้า มาร์เกอไรท์ โจเซฟ่า คลาร่า บัลธาซาร่า แห่งเออร์ฟ่า เกิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2533
    • มาเรีย-อิสซาเบล ฟรานซิสก้า โซเฟีย แคสปาร่า แห่งเออร์ฟ่า เกิดเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2536
    • คอนสแตนซ่า มาเรีย เทเรซ่า คริสติน่า โจฮันนา เมลชอร์ร่า แห่งเออร์ฟ่า เกิดเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2542
  • อาร์คดยุค ไรมันด์ โจเซฟ คาร์ล ลุดวิก มาเรีย เกเบรียล (Raimund Joseph Carl Ludwig Maria Gabriel von Habsburg-Lothringen) ประสูติเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2501 ทรงอภิเษกสมรสกับ เบ็ทตีน เกิทซ์ ทรงมีพระโอรส-พระธิดารวม 3 พระองค์ ดังนี้
    • อาร์คดยุค เฟลิกซ์ คาร์ล มาเรีย เจอร์เจน เมลชอร์ (Carl Maria Jürgen Melchior von Habsburg-Lorraine) ประสูติเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2539
    • อาร์คดัชเชส โซเฟีย มาเรีย อเล็กซานดร้า แกสปาร่า (Sophia Maria Alexandra Gaspera von Habsburg-Lorraine) ประสูติเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2541
    • อาร์คดัชเชส มาเรีย เทเรซ่า เบียทริซ นิโคล บัลธาซาร่า (Maria Teresa Beatrice Nicole Balthasara von Habsburg-Lorraine) ประสูติเมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2543
  • อาร์คดัชเชส มารี อาเดลเลด มิเรียม ฮิวโกลีน โอมเนส แซงค์ติ (Adelheid Miriam Hugoline Omnes Sancti von Habsburg-Lothringen) ประสูติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 ทรงอภิเษกสมรสกับ เจมส์ มาร์คอส เปโตร คอร์เควร่า อเคสัน ทรงมีพระโอรส-ธิดารวมทั้งสิ้น 4 พระองค์ ดังนี้
    • ชาร์ลส เซบัสเตียน เซเวอร์ มาเรีย เปโตร เฟอร์นันโด แกสป้า คอร์เควร่า เกิดเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527
    • เปโตร โจฮันเนส เฟอร์ดินานด์ มาเรีย เฟลิกซ์ อ๊อตโต้ เมลชอร์ คอร์เควร่า เกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2528
    • เฟลิปเป้ อังเดร เจมส์ มาเรีย โรเบิร์ตโต บัลธาซ่า คอร์เควร่า เกิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2530
    • อังเดร มาเรีย ฮวน ฟรานซิสโก้ แกสป้า คอร์เควร่า เกิดเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2531
  • อาร์คดยุค สเตฟาน ฟรานซ์ ลิโอโพลด์ โจฮันเนส มาเรีย รูดอล์ฟ เธเรซิอุส (Stephan Franz-Leopold Johannes Maria Rudolph Theresius von Habsburg-Lothringen) ประสูติเมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2504 ทรงอภิเษกสมรสกับ เปาลา เดอ เทเมสวารี่ ทรงมีพระโอรส-ธิดารวมทั้งสิ้น 3 พระองค์ ดังนี้
    • อาร์คดยุค แอนเดรียส ฟรานซิสโก้ ลาสโล่ เฟลิกซ์ คาร์ล อเล็กซานเดอร์ (Andreas Francesco Laszlo Felix Carl Alexander von Habsburg-Lorraine) ประสูติเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2534
    • อาร์คดยุค แพล โจฮันเนส มาเรีย (Pál Johannes Maria von Habsburg-Lorraine)ทรงประสูติเมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2540
    • อาร์คดัชเชส มาร์เกอไรท์ ยูเจนี่ มารี อเล็กซานดร้า (Marguerite Eugénie Marie Alexandra von Habsburg-Lorraine) ทรงประสูติเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2542
  • อาร์คดัชเชส วิริดีส อโลอีเซีย มารี-เอลีนอร์ เอลิซาเบธ (Viridis Aloisia Marie-Eleonore Elisabeth von Habsburg-Lothringen) ทรงประสูติเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2504 ทรงเป็นพระขนิษฐาฝาแฝดกับอาร์คดยุคสเตฟาน ซึ่งมีพระชันษาห่างกันเพียงแค่วันเดียว ทรงอภิเษกสมรสกับ คาร์ล คอนราด วิลเลี่ยม ดันนิ่ง-กริบเบิ้ล ชาวอังกฤษ ทรงมีบุตร-ธิดารวมทั้งสิ้น 4 คน ดังนี้
    • คาร์ล ลีโอโพลด์ เฟอร์ดินานด์ จอร์จ ดันนิ่ง-กริบเบิ้ล เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2534
    • เฟอร์ดินานด์ ดันนิ่ง-กริบเบิ้ล เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2535
    • แม็กซีมีเลียน ดันนิ่ง-กริบเบิ้ล เกิดเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2539
    • มารี-ชาร์ลอต แอนนา ยูจีนี่ เอลิซาเบธ คาโรล่า ดันนิ่ง-กริบเบิ้ล เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2544