วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วัดวีนไข้หวัดใหญ่ 2009

วัดวีนไข้หวัดใหญ่ 2009

รู้จักกับไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ของโลก A-2009 H1N1 .shareimg img{ border:0px; }
แบ่งปัน21 [Image]27เม.ย. ที่ผ่านมาสำนักข่าวต่างประเทศต่างพากันรายงานว่าที่กรุงเม็กซิโก ซิตีเมืองหลวงของประเทศเม็กซิโก ได้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ คือไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สายพันธุ์H1N1หรือที่เรียกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009ซึ่งหลังจากที่ได้แพร่ระบาดเข้าสู่สหรัฐอเมริการและแคนนาดาแล้วจึงได้กระจายไปสู่ภูมิภาคอื่นทั่วโลกอย่างรวดเร็วโดยองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้เพิ่มระดับเตือนภัยการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้เป็นระดับ 5 ซึ่งเป็นขั้นที่ตรวจพบว่ามีการแพร่เชื้อจากคนสู่คนในอย่างน้อย 2 ประเทศในภูมิภาคเดียวกัน หรือการติดเชื้อข้ามประเทศ เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 52 องค์การอนามัยโลก ได้ประกาศยกระดับการเตือนภัยไข้หวัดใหญ่ 2009 จากระดับ 5 เป็นระดับ 6 หรือระดับสูงสุดแล้ว เนื่องจากเริ่มต้นแพร่ระบาดไปทั่วโลกแล้ว อีกทั้งยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ ยุโรป อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย เอเชีย และภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 41 ปีที่มีการประกาศเตือนภัยไข้หวัดใหญ่ระบาดกว้างขวางทั่วโลกนอกจากนี้องค์การอนามัยยังประกาศให้เรียกชื่อโรคนี้อย่างเป็นทางการว่า โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดA H1N1 แทนการเรียกว่า ไข้หวัดหมูเช่นเดียวกับที่ก่อนหน้านี้สหรัฐ เรียกไข้หวัดสายพันธุ์ดังกล่าวว่า ไข้หวัดใหญ่ 2009 H1N1 เพื่อแก้ความเข้าใจผิดที่ว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้เกิดจากหมูรู้จักกับไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ของโลกดร.แนนซี่ ค็อกซ์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยไข้หวัดใหญ่ ศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐ กล่าวว่า ไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ชนิด A H1N1 นี้ มีลักษณะพันธุกรรมหรือยีน ที่ประกอบด้วยเชื้อไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์รวมอยู่ด้วยกัน ได้แก่ เชื้อไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์ เชื้อไข้หวัดนกที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ และ เชื้อไข้หวัดหมูที่พบบ่อยในทวีปยุโรปและเอเชีย
[Image]
โดยสันนิษฐานเบื้องต้นว่า เชื้อไข้หวัดพันธุ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม หรือ Antigenetic Shift โดยมีหมูที่เป็นพาหะนำโรค โดยการถูกเชื้อไวรัสไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู และไข้หวัดใหญ่ เข้าไปอยู่ในตัว ต่อมาเซลล์ในตัวหมูถูกไวรัสตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปโจมตี ทำให้หน่วยพันธุกรรมไวรัสดังกล่าวผสมปนเปกันระหว่างการแบ่งตัว กลายเป็นเชื้อพันธุ์ใหม่ขึ้นมาขณะเดียวกัน ก็มีรายงานว่า นายเอเดรียน กิบส์ ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยพัฒนายาต้านไวรัส ทามิฟลู ของบริษัทโรช และเป็นผู้ศึกษาวิวัฒนาการของเชื้อโรคมาเป็นเวลานานถึง 40 ปี เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์รายแรกๆที่วิเคราะห์ส่วนประกอบทางด้านพันธุกรรมเปิดเผยว่า เขาตั้งใจที่จะตีพิมพ์รายงานที่มีข้อมูลบ่งชี้ว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ จากไข่ที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เพาะไวรัสและบริษัทยาได้นำไปใช้เพื่อผลิตวัคซีนก็เป็นได้โดยนายกิบส์กล่าวว่า การชี้เบาะแสของต้นตอไวรัสอาจจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ทำความเข้าใจไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของการแพร่เชื้อและสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ซึ่งขณะนี้องค์การอนามัยโลกอยู่ในระหว่างการพิจารณารายงานฉบับนี้[Image]หมูไม่เกี่ยวน.พ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ผอ.สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดใหม่นี้ว่า แม้จะมีเชื้อตั้งต้นมาจากหมู แต่ระยะแพร่ระบาดคือ ติดต่อจากคนสู่คน ดังนั้นการบริโภคผลิตภัณฑ์จากหมูไม่มีอันตรายแต่อย่างใดทั้งนี้หากเปรียบเทียบกับ “ไข้หวัดนก” ที่เคยแพร่ระบาดในอดีต ซึ่งเป็นเชื้อที่ติดต่อจากสัตว์ปีกสู่คนได้นั้น จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ผู้ได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์นี้ มีอัตราเสียชีวิตร้อยละ 5-7 ซึ่งถือว่ายังน้อยกว่าอัตราของผู้เสียชีวิตของผู้ป่วยโรคไข้หวัดนก ข้อมูลที่น่าสนใจ1. ปัจจุบันมีเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่จำนวนมากในโลกและมีวัคซีนที่สามารถฉีดยาป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โดยแต่ละปีวัคซีนที่นำมาใช้เป็นไปตามเชื้อไวรัสที่น่าจะมีผลกระทบมากในปีนั้นๆ2. ไวรัส H1N1 หรือไวรัสของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่นี้ เป็นไวรัสที่ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็วและยังไม่มีวัคซีนป้องกัน3. ปัจจุบันยังไม่มีอันตรายที่น่าวิตกจนเกินไป โดยที่ผ่านมาผู้ที่ได้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 จะมีความรุนแรงต่อร่างกายน้อย น.พ. Belinda Ostrowsky จากศูนย์การแพทย์ Montefiore นิวยอร์ค กล่าวว่า มีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดชนิดนี้ เพียงเล็กน้อยในสหรัฐฯ หากเทียบกับยอดผู้เสียชีวิตด้วยไข้หวัดตามฤดูกาลประมาณ 2,000 คน จากทุกปี ด้านกระทรวงสาธารณะสุขของไทย ระบุว่า เชื้อดังกล่าวไม่มีความรุนแรงมาก โดยมีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่า 1% มีโอกาสหายเองได้เกิน 90 % และในส่วนที่ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 5-10% นั้น เนื่องจากมีโรคประจำตัว 4. ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพแข็งแรงและอาการไม่รุนแรง สามารถรักษาหายได้ด้วยภูมิต้านทานของร่างกาย ทั้งนี้หากเป็นผู้สูงอายุหรือเด็กจะมีความเสี่ยงมากกว่า[Image]อาการผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่เกิดขึ้นตามปกติ คือ มีไข้ขึ้นสูง ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ไอ คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยตามร่างกายรุนแรง ท้องร่วง และปวดศีรษะรุนแรง อาการป่วยจะพัฒนารวดเร็วและจะมีอาการหายใจลำบากอย่างรุนแรงภายใน 5 วัน ทั้งนี้อาจจะพบว่าผู้ที่รับเชื้อจะแสดงอาการไม่รุนแรง ข้อควรระวัง- ผู้ติดเชื้อมีภูมิต้านทานอ่อนแอ ได้แก่ เด็ก คนชรา และผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคภูมิแพ้ เป็นต้น จะมีผลกระทบต่อร่างกายมากกว่าคนธรรมดา ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ดังนั้นควรพบแพทย์เมื่อรู้สึกเป็นไข้ภายใน 2 วัน - กรณีที่มีอาการรุนแรง เกิดจากมีการอักเสบที่ปอด จนถึงขั้นเสียชีวิตได้- เด็กเล็กที่มีผู้ปกครองอาจได้รับทราบอาการป่วยช้า เนื่องจากเด็กไม่ได้บอกให้ทราบ
การติดต่อการแพร่ติดต่อเช่นเดียวกับโรคไข้หวัดใหญ่ในคน คือ1. แพร่ไปยังผู้อื่นโดยการไอ หรือจามรดกัน โดยที่เชื้อจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย 2. ติดจากมือและสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ และเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา หากนำมือที่มีเชื้อไปสัมผัสร่างกาย เช่น การแคะจมูก การขยี้ตาการป้องกัน1.ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิด เพื่อป้องกันเวลาจาม2.หมั่นล้างมือ3.หากมีอาการ ไข้อย่างรุนแรง และไข้ไม่ลดภายใน 2 วัน ควรรีบพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคนี้ รวมทั้งผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศที่มีการแพร่ระบาด 4. หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังสถานที่แอดอัด และงดเดินทางไปในประเทศที่มีการแพร่ระบาดของโรคนี้อย่างรุนแรง 5. รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ[Image]การรักษา
ในเอกสารเรื่องการแพร่ระบาดของไข้หวัดชนิดนี้ ที่กงสุลใหญ่ ในนครลอสแองเจลิสของสหรัฐ แสดงข้อมูลที่ระบุว่า สามารถใช้ยาชนิดเดียวกับยาไข้หวัดใหญ่ทั่วไปในการรักษาไข้หวัดชนิดเอ H1N1 ได้ คือ ยาโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) หรือ ทามิฟลู (Tamiflu) และยา zanamivir ซึ่งเป็นยาชนิดพ่น แต่ทั้งนี้ยาดังกล่าว ไม่สามารถป้องกันเชื้อไวรัสได้ทั้งนี้มีรายงานระบุว่าในสหรัฐอเมริกา ผลการตรวจเชื้อไวรัสชนิดนี้พบว่าเชื้อดังกล่าวดื้อยาต้านไวรัส amantadine และ rimantadineอย่างไรก็ตาม WHO ออกมายอมรับว่ายาทามิฟลูที่มีอยู่ในขณะนี้อาจไม่เพียงพอต่อการับมือกับการแพร่ระบาดที่อาจเพิ่มมากขึ้นข้อควรพิจารณา1. ไม่ควรเชื่อ หากมีการโฆษณาว่า เมื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไปแล้ว จะสามารถป้องกันไข้หวัดใหม่สายพันธุ์ใหม่ได้2. ค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจว่าผู้ป่วยเข้าข่ายติดเชื้อไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือไม่ ต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงมากสำหรับผู้มีฐานะยากจน คือประมาณ 4,000-8,000 บาท ดังนั้นจึงควรพิจารณาให้รอบคอบ หรือศึกษาข้อมูลด้วยตัวเองและปรึกษาแพทย์ก่อนสถานการณ์แพร่ระบาดวันที่ 12 มิ.ย. 52 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศยกระดับการเตือนภัยไข้หวัดใหญ่ 2009 จากระดับ 5 เป็นระดับ 6 หรือระดับสูงสุดแล้ว ซึ่งหมายถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดไปทั่วโลกแล้ว อีกทั้งยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ ยุโรป อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย เอเชีย และภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนั้น WHO ได้แนะนำให้บริษัทเวชภัณฑ์ที่ผลิตวัคซีนต่างๆ เร่งผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลให้เสร็จสิ้น ซึ่งจะเสร็จสิ้นภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า ก่อนหันไปผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งคาดว่าจะออกสู่ท้องตลาดอย่างเร็วที่สุดเดือนกย.ปีนี้ และ WHO จะเริ่มแจกยาต่อต้านไวรัส “ทามิฟลู” ให้ประเทศต่างๆ อีก 5.65 ล้านชุด เพิ่มเติมจากที่แจกไปแล้ว 5 ล้านชุด[Image]สถานการณ์ในประเทศไทยซึ่ง วันที่ 1 พ.ค. 52 นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่าที่ประชุมศูนย์บัญชาการเตรียมความพร้อมป้องกันและควบคุมแก้ไขสถานการณ์การระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ ให้สรุปใช้ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ 2009H1N1 และมีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพื่อให้ง่ายแก่การสื่อสารและสร้างความเข้าใจแก่สาธารณะวันที่ 15 มิ.ย.52 ศูนย์เฝ้าระวังและควบคุมไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ปรับเพิ่มระดับความรุนแรงของโรคดังกล่าวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย จากระดับ B เป็นระดับ C มาตรการเฝ้าระวังสธ.ใช้มาตรการแซนด์วิช คือมาตรการเฝ้าระวังโรคในกลุ่มที่เดินทางมาจากต่างประเทศทุกคนที่ด่านตรวจโรคประจำสนามบิน เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ ได้เพิ่มกำลังแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ประจำการจากวันละ 60 คน เป็นวันละเกือบ 100 คน ตลอด 24 ชั่วโมง และให้มีระบบการเชื่อมโยงส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยในรายที่มีไข้และเดินทางกลับจากต่างประเทศให้พื้นที่ต่างๆ ได้ติดตามดูแลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงตามด่านพรมแดนต่างๆ และการค้นหาผู้ป่วยในหมู่บ้านชุมชน และที่โรงพยาบาล คลินิก โรงพยาบาลเอกชน อย่างเข้มแข็ง เพื่อค้นหาผู้ป่วยให้พบอย่างรวดเร็ว ให้การดูแลรักษาและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อให้อยู่ในวงจำกัด ยาต้านไวรัสกระทรวงสาธารณะสุขได้มอบหมายให้องค์การเภสชักรรม(อภ.) เจรจากับบริษัทยาในประเทศอินเดียซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบการการผลิตยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ให้ยังคงราคาเดิมเป็นเวลา 1 เดือน เนื่องจากขณะนี้เกิดการระบาดทำให้หลายประเทศสั่งซื้อจำนวนมาก จนราคาวัตถุดิบปรับสูงขึ้น มาตรการด้านสำรองนั้นเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไวต่อยาโอเซลทามิเวียร์และยาซานามิเวียร์ เพราะยาทั้ง 2 ชนิดนี้ เป็นยาปฏิชีวนะกลุ่มเดียวกันที่ยับยั้งไม่ให้ไวรัสแตกตัว โดยผู้ป่วยที่ติดเชื้อต้องรับยาติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน วันละ 2 ครั้ง และต้องรับยาภายใน 48 ชั่วโมง เมื่อมีอาการ จึงจะได้ผลเต็มประสิทธิภาพ เพียงแต่ยาโอเซลทามิเวียร์เป็นยากินชนิดเม็ด ส่วนยาซานามิเวียร์เป็นยาพ่นกระทรวงสาธารณสุขปรับมาตรการในการป้องกันโรค มุ่งเน้นการให้ความรู้ประชาชนให้รู้จักการดูแลตนเองอย่างถูกวิธี คือ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ซึ่งมีอาการป่วยเล็กน้อย ให้หยุดพักเพื่อรักษาตัวที่บ้าน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ กินอาหารที่มีประโยชน์ และป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น โดยใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังไอ จาม และหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น แต่หากอาการรุนแรงขึ้น เช่น มีไข้สูง หรือไอมาก หรือหายใจลำบาก ให้ไปรักษาที่โรงพยาบาล สธ.ออกประกาศฉบับ 7 แนะประชาชนรับมือไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่วันที่ 13 มิ.ย. 52 ได้ออกคำแนะนำกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 7 เพื่อการป้องกันโรคสำหรับกลุ่มต่างๆ ซึ่งได้ปรับปรุงใหม่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และข้อมูลวิชาการที่ทันสมัย ในคำแนะนำดังกล่าว สำหรับประชาชนทั่วไปเน้นการป้องกันตนเอง ไม่ให้ป่วย และการป้องกันการแพร่เชื้อจากผู้ป่วย สำหรับสถานศึกษา สถานประกอบการ และสถานที่ทำงาน เน้นการให้นักเรียนหรือพนักงานที่มีอาการป่วยหยุดเรียนหรือหยุดงาน เพื่อไม่ให้จำเป็นต้องปิดสถานศึกษาหรือสถานประกอบการ โดยสามารถ ดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.moph.go.th ทั้งนี้หากประชาชนต้องการข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข www.moph.go.th หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ปฏิบัติการ กรมควบคุมโรค หมายเลขโทรศัพท์ 02 -590-3333  และที่ศูนย์บริการข้อมูลฮอตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข หมายเลข 02-590-1994ตลอด 24 ชั่วโมงศิริราชถอดรหัสพันธุกรรมไวรัส ได้โรงพยาบาลศิริราช แถลงผลสำเร็จการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ครั้งแรกของไทย ซึ่งจะนำไปสู่การวินิจฉัยโรคที่เร็วขึ้นและนำไปสู่การพัฒนาวัคซีนและยาต้านไวรัสสายพันธุ์ H1N1 ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในอนาคตทั้งนี้เป็นความสำเร็จจากการตรวจและศึกษาการระบาดของไข้หวัดใหญ่มานานกว่า 30 ปี ซึ่งการตรวจหาเชื้อ H1N1 นั้นโรงพยาบาลศิริราชสามารถตรวจหาได้ภายใน 24 ชั่วโมงและสามารถวิเคราะห์ลำดับนิวคลิโอไทด์เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงของเชื้อได้ภายใน 3 วันอย่างไรก็ตาม แม้ว่าการวิจัยดังกล่าว จะสามรถต่อยอดไปถึงขั้นการผลิตวัคซีนป้องกันได้ แต่คงไม่ทันต่อผลิตวัคซีน เพื่อป้องกันโรคไข้หวัดสายพันธุ์ที่กำลังทีระบาดอยู่ขณะนี้ [Image]รพ.รามาพัฒนาชุดตวจเชื้อ all-in-oneวันที่ 15 พ.ค. โรงพยาบาลรามาธิบดี เผยผลสำเร็จ ในการพัฒนา “ชุดตรวจเชื้อไข้หวัดใหญ่”แบบออล-อิน-วัน ซึ่งสามารถตรวจเชื้อไข้หวัดทุกสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ในปัจจุบันได้พร้อมกันในครั้งเดียว โดยรู้ผลภายใน 4 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ไข้หวัดนก(เอช5เอ็น1) ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 (เอช1เอ็น1) รวมถึงเชื้อไวรัสที่ดื้อยา แพทย์เตือนอย่ากินยาลดไข้ก่อนลงเครื่อง นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเตือนกลุ่มผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศว่า ไม่ควรกินยาลดไข้ก่อนลงเครื่อง ซึ่งหลายคนกลัวหากมีไข้ จะถูกกักตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะหากป่วยจากเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่จริง จะเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต หากไม่ได้รับการดูแลจากแพทย์ ทั้งยังจะแพร่เชื้อให้คนรอบข้างได้ แต่หากได้รับการรักษาทันเวลา ก็จะหายขาดสถานการณ์โรคในประเทศไทย จากการคำนวณทางระบาดวิทยาคาดว่าในประเทศไทย มีผู้ป่วยขณะนี้ 3.5-5 แสนคน และตั้งแต่วันที่ 26 ก.ค.- 2 ส.ค. ที่ผ่านมามีผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 16 ราย ชาย 9 ราย หญิง 7 ราย ลดลงจากสัปดาห์ก่อน 5 ราย ในจำนวนร้อยละ 75 คือ 12 ใน 16 ราย มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หอบหืด อ้วน สูบบุหรี่จัด และหัวใจพิการตั้งแต่กำเนิด และเป็นหญิงตั้งครรภ์ 1 ราย ทั้งนี้ที่เหลือ  4 ราย เป็นผู้ป่วยที่ไม่มีโรคประจำตัวมาก่อน สุขภาพร่างกายปกติ และหากดูสถานการณ์ทั่วโลก โดย ผอ.องค์การอนามัยโลกยืนยันว่า ในผู้ที่มีสุขภาพดีก็เสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่  2009 ได้เช่นกัน ทั้งนี้เมื่อรวมกับผู้เสียชีวิตก่อนหน้านี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตสะสม 81 รายแนวโน้มการระบาด
ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ฤดูกาลการระบาดของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ในปีนี้ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ส่วนใหญ่ จะเป็นผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอ็ช1 เอ็น1 อาจมีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลอยู่บ้าง จากข้อมูลที่มีอยู่ในขณะนี้ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอ็ช1 เอ็น1 อาจมีความรุนแรง (อัตราป่วยตาย) ใกล้เคียงกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล และไม่ได้รุนแรงเท่ากับข้อมูลที่ได้รับทราบจากข่าวการระบาดในเม็กซิโกระยะเริ่มต้น แต่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอ็ช1 เอ็น1 มีความสามารถในการแพร่กระจายไปได้กว้างขวางกว่าไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีภูมิต้านทานโรค ขณะนี้ยังคงอยู่ในช่วงต้นของการระบาด และการระบาดจะขยายตัวต่อไปอย่างรวดเร็ว ไปทั่วประเทศ และทุกชุมชน การระบาดในกรุงเทพและปริมณฑล เริ่มจากการระบาดในโรงเรียน การระบาดในระยะต่อไป คาดว่าจะเป็นการระบาดในครอบครัวของผู้ป่วย (พ่อ แม่ พี่ น้อง ผู้สูงอายุที่อยู่ร่วมบ้าน) และการระบาดในโรงพยาบาล และคาดว่าในระยะต่อไปจะเป็นการระบาดในสถานที่ทำงาน ซึ่งเกิดจากการที่พ่อแม่ของเด็กป่วยไปแพร่เชื้อในที่ทำงานนั่นเอง รูปแบบการระบาดของแต่ละพื้นที่อาจมีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน การแพร่ระบาดคาดว่าจะต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง จากข้อมูลการระบาดในอดีต คาดว่าการระบาดจะยังอยู่ในประเทศต่อไปอีก ไม่ต่ำกว่า 1-3 ปี ในปีนี้ (พ.ศ. 2552) จะมีจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ทั้งหมดสูงกว่าปีก่อนๆ และคาดว่าการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอ็ช1 เอ็น1 จะทำมีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมากกว่าการเกิดไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล กระทรวงสาธารณสุข แจ้งว่า ต่อจากนี้จะยึดตามหลักขององค์การอนามัยโลก ที่จะรายงานยอดผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตเป็นรายสัปดาห์ โดยข้อมูลล่าสุดที่มีรายงานจากองค์การอนามัยโลก ณ วันที่ 6 ก.ค. 52 มีผู้ติดเชื้อจาก 136 ประเทศ รวม  94,512 ราย เสียชีวิต 429 ราย เป็นอัตราป่วยตายร้อยละ 0.45 (รายละเอียดตามตาราง)[Image]ความคิดเห็นไข้หวัดใหญ๋สายพันธุ์ใหม่ 2009 ระวังได้ แต่ต้องไม่ระแวงแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุด กล่าวว่า หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้ยินการประชาสัมพันธ์อย่างหนาหูเกี่ยวกับการให้ความรู้เรื่องการดูแลร่างกายให้แข็งแรงเพื่อที่จะอยู่ร่วมกับเชื้อโรคพันธุ์ใหม่ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ซึ่งก็คงจะถึงเวลาที่ทุกคนจะเริ่มกลับมารักและดูแลตัวเอง ตลอดจนเพื่อนร่วมสังคมกันเสียที เพราะต่อไปอาจจะมีเชื้อโรคพันธุ์ใหม่ๆ เกิดตามมาอีกแต่เรื่องราวเหล่านี้เราเรียนรู้ได้ และถ้าเราจะลองเฝ้าสังเกตชีวิตของเราทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆกับการเรียนรู้เรื่องการเผชิญโลกอย่างที่โลกเป็นอย่างม่เป็นทุกข์ ก็จะทำให้เราได้บทเรียนร่วมกัน ทั้งนี้ สังคมต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์เรื่องการเฝ้าสังเกตอย่างมีสติให้กว้างขวาง คือในทุกเช้าที่เราตื่ขึ้นมา เราต้องสำรวจร่างกาย เพื่อฝึกกายานุปัสสนาภาวนา ให้เห็นความไม่เที่ยงในการใช้ชีวิตในฝ่ายของกายเราได้สังเกตเห็นทว่าในขณะที่สังเกต จิตใจของเราต้องไม่ระแวง เราก็จะเริ่มอยู่กับมันได้อย่างระวัง ซึ่งเป็นการระวังอยู่บนพื้นฐานที่ปราศจากความหวาดกลัว แต่ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วเราระแวงว่าเราจะเป็นโน่นหรือไม่ เราจะเป็นนี่หรือเปล่า ชีวิตของเราในวันนั้นก็จะดำเนินอยู่ด้วยความหวาดกลัว ฉะนั้นเรื่องการมีสติอารักขาจิตที่จะอยู่กับเรื่องที่ต้องเผชิญในโลกของความป็นจริงข้าพเจ้าเองก็ได้มีประสบการณ์ของการเฝ้าสังเกตในวันที่ต้องเผชิญกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ก็พบว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะการเฝ้าสังเกตอย่างมีสตินั้นเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เราอยู่กับความเจ็บป่วยทางกายอย่างระวัง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราที่จะยอมรับในสิ่งที่เราต้องเรียนรู้กับมัน เพราะมันเป็นไวรัสที่เข้ามาอยู่ในร่างกายเรา ถ้าเราใช้ร่างกายของเราอย่างมีสติ ก็จะเห็นว่าสิ่งนี้จะดำรงอยู่ในชีวิตของเราอย่างมีกุศลร่วมกันไปได้ เช่น เมื่อมีอาการปวดเมื่อยทางกาย เราก็รู้ว่ามันปวด แต่ไม่มีความกลัวทางจิตใจของเรา และความปวดนั้นจะค่อยๆคลี่คลายไป ซึ่งเราเข้าใจเหตุปัจจัยแห่งการเกิดของมันอย่างไม่ปรุงแต่งอย่างมีอวิชชาด้วยความกลัว ถ้าเราเฝ้าสังเกตร่างกายของเราให้มากขึ้นด้วยศักยภาพในที่มีความแข็งแรงทางจิตใจที่จะเรียนรู้กับมันแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าเวทนาททางกายก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเราคงต้องบอกให้คนในสังคมอยู่ร่วมกับสิ่งที่ต้องเผชิญอย่างคนที่มีภูมิคุ้มกันด้านในที่ไม่บกพร่อง ยาอาจจะเป็นเครื่องมือที่จะจัดการกับไวรัส แต่สติปัญญาจะเป็นเครื่องมือให้เราอยู่กับไวรัสอย่างเห็นความเปลี่ยนแปลงทางกาย แต่ไม่ทรมานใจสั่งหยุดรายงานป่วยตามรายวัน เมื่อ 14 ก.ค. 52 นายอภิสิทธิ์กล่าวในรายการพิเศษ “ฝ่าภัยไข้หวัดใหญ่ 2009” ทางช่อง สทท. ว่า รัฐบาลใส่ใจเรื่องนี้ซึ่งส่วนตัวแล้วใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงติดตามข้อมูล รวมทั้งดูแนวโน้มตามต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม มีสองเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจ อย่างแรกคือ ทุกคนมีความเสี่ยงเหมือนกันหมด เพราะเป็นเรื่องเกิดใหม่ ไม่มีใครมีภูมิคุ้มกัน เมื่อระบาดแล้ว หลายประเทศประกาศทางการ ว่าไม่สามารถหยุดยั้งได้และเป็นไปได้อย่างสูงว่าโรคนี้จะอยู่กับเราเป็นปีและมีผู้ติดเชื้อมากขึ้น“ส่วนปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการตรวจเชื้อหวัดนั้น เห็นว่าคนไทยทุกคนมีสิทธิทางใดทางหนึ่งควบคุมโรคนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิทธิข้าราชการ สิทธิประกันสังคม หริสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า ถ้าแพทย์ตัดสินใจส่งเชื้อไปตรวจ ผู้ป่วยจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ถ้าเป็นความต้องการของผู้ป่วยเอง ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย”นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ถ้าบังคับให้ประชาชนทุกคนใส่หน้ากาก ซึ่งต้องเปลี่ยนอยู่บ่อยๆ รัฐบาลต้องซื้อแจก แต่ต้องยอมรับว่ารัฐบาลไม่สามารถซื้อหน้ากากแจก 63 ล้านคนได้ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าหน่วยไวรัสวิทยาและจุลชีวโมเลกุล คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ตัวอย่างผู้ป่วยส่งตรวจที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ประมาณ 10,000 ตัวอย่าง เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ถึง 80% ส่วนอีก 20% เป็นไข้หวัดตามฤดูกาลดร.วสันต์ กล่าวต่อว่า นอกจากการให้บริการตรวจยืนยันโรคแล้ว โรงพยาบาลรามาธิบดียังมีการตรวจการดื้อยาและถอดรหัสพันธุกรมมเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ พบว่าปัจจุบันยังไม่มีการดื้อยา อาจเป็นเพราะว่าที่ผ่านมาการใช้ยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ในประเทศไทยยังไม่มีการใช้มากเหมือนในต่างประเทศ แต่เชื่อว่าหลังจากนี้ประมาณ 3-6 เดิอนอาจพบการดื้อยาเกิดขึ้น ซึ่งเป็นธรรมชาติขิงไวรัส แต่ในขณะนี้ในสหรัฐมีการดื้อต่อโอเซลทามิเวียร์ประมาณ 80-90% แล้วขณะที่ นายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า จะเสนอให้ ครม.ทุกคนใส่หน้ากากอนามัยเข้าร่วมประชุม ครม.ทุกครั้ง เพื่อเป็นแบบอย่างรณรงค์ให้ประชาชนใส่หน้ากากอนามัย เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโรคไข้หวัด 2009 ซึ่งเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่ ครม.ควรเป็นแบบอย่างรณรงค์ให้คนไทยใส่หน้ากากอนามัยตามสถานที่ต่างๆ เช่นโรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า โดยจะประสานงานไปยังกระทรวงมหาดไทย ให้กลุ่มโอทอปผลิตหน้ากากอนามัยที่ทำจากผ้ามาแจกให้ประชาชนต่อไป ส่วรการตรวจหาเชื้อไข้หวัด 2009นั้น จะให้โรงพยาบาลเอกชนคิดค่าตรวจอยู่ที่ 3,500 บาทต่อตัวอย่างเท่านั้น ส่วนโรงพยาบาลรัฐจะให้ตรวจฟรีจากนั้น นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม.ว่า ครม.อนุมัติงบประมาณ 850 ล้านบาท เพื่อสั่งซื้อยาโอเซทามิเวียร์ 10 ล้านเม็ด วงเงิน 250 ล้านบาท พร้อมกับสั่งจองวัคซีนป้องกันไข้หวัด จากบริษัทซาโนฟีปาสเตอร์ จำกัด จำนวน 2 ล้านโดส วงเงิน 600 ล้านบาท โดยกำหนดส่งมองวัคซีนไนเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2552 ภายใต้เงื่อนไขว่า บริษัทดังกล่าวไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบในผลิตภัณฑ์กรณีหากเกิดผลข้างคียงจากการใช้วัคซีน เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตแจ้งว่า วัคซีนนี้ผลิตเพื่อใช้ในสถานการณืฉุกเฉิน มีประเทศสั่งจองจำนวนมาก ซึ่งต้องมีการผลิตยาจำนวนมาก จึงไม่ขอรับผิดชอบหากเกิดผลข้างเคียงนพ.ภูมินทร์กล่าวว่า ช่วงที่ยังไม่มีการส่งมอบวัคซีนนี้มายังประเทศไทย จะมรการทดลองใช้วัคซีนนี้ในยุโรปไปเรื่อยๆ คาดว่ากว่าที่วัคซีนจะมาถึงเมืองไทยคงทราบแล้วว่าจะมีผลข้างเคียงหรือไม่ ทั้งนี้โดยทางการแพทย์แล้ว พบว่าวัคซีนทั่วไปมีความเสี่ยงจะเกิดผลข้างเคียงในอัตรา 1 ต่อล้าน มีตั้งแต่เป็นผดผื่นจนถึงพิการเสียชีวิต แต่วัคซีนนี้ยังไม่มีใครทราบว่าจะมีความเสี่ยงหรือมีผลข้างเคียงอย่างไร แต่ที่ผ่านมาสหรัฐฯเคยใช้วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์อื่นมาใช้กับคน พบว่ามีผลข้างเคียงให้คนเป็นอัมพฤกษ์กว่า 100 คน ถือว่าเป็นฝันร้ายที่ต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อมา นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยความคืบหน้าสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ว่า ตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.-14 ก.ค. 2552 มีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ รวมทั้งสอ้น 4,057 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย รวมทั้งหมด 24 ราย เฉพาะในวันนี้ได้รับการรายงานผลการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการพบติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ เพิ่ม 176 รายน.พ.ไกรจักร แก้วนิล รองปลัด กทม. ที่สั่งให้โรงพยาบาลที่สังกัด กทม. ให้ยาทามิฟลู แก่ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษา โดยไม่ต้องรอผลยืนยันการตรวจเสียก่อนว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 หรือไม่ เหมือนอย่างที่กระทรวงสาธารณสุขทำ เพื่อป้องกันการติดโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อที่ปอด นี่คือวิธีการรับมือที่ถูกต้อง ป้องกันด้วยและรักษาด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้ตายเสียก่อนแล้วโทษว่าเป็นโรคแทรกซ้อนส่วนสถานการณืทั่วโลก นางมารี-ปอล คีนี ผู้อพนวยการด้านวิจัยวัคซีนขององค์การอนามัยโลก (ฮู) กล่าวว่า ขณะนี้การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ไม่สามารถหยุดยั้งได้แล้วและทุกประเทศจำเป็ฯต้องมีวัคซีนเอาไว้ป้องกันตัวเอง โดยคำกล่าวนี้มีขึ้นในช่วงที่อังกฤษ บราซิล โคลัมเบีย เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ และประเทศไทยต่างมีรายงานผู้เสียชีวิตพร้อมกันกว่า 10 คน เมื่อวันจันทร์นางมารี กล่าวอีกว่า วัคซีนป้องกันหวัดชนิดนี้ ควรมีใช้อย่างเร็วที่สุดในเดือนกันยายน และทุกประเทศจำเป็นต้องมีวัคซีนไว้เพื่อป้องกันตัวเอง โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขคือคนกลุ่มแรกที่ควรได้รับวัคซีน เพราะคนกลุ่มนี้จะป็นที่ต้องการมากขึ้นหากมีคนติดเชื่อไม่หยุด ส่วนกลุ่มคนสำคัญกลุ่มอื่นๆ ควรเป็นกลุ่มหญิงท้อง หรือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปสถิติล่าสุดขององค์การอนามัยโลกระบุว่า พบผู้ป่วยแล้วไม่ต่ำกว่า 9 หมื่นคนทั่วโลก ในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้ว 429 คน ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง โดยประเทศที่พบผู้เสียชีวิตรายใหม่มากที่สุดอยู่ในเอเชีย ได้แก่ ประเทศไทย 3 คน และฟิลิปปินส์อีก 2 คน ขณะที่มีเม็กซิโกเสียชีวิตเพิ่มอีก 3 คน ส่งผลให้ยอดเสียชีวิตรวมในแดนจังโก้อยู่ที่ 124 คน ส่วนประเทศต้องเตรียมตัวรับมือกับผู้คนมากถึง 2 ล้านคน ที่เตรียมตัวเดินทางไปแสวงบุญในนครเมกกะ และเมืองเมดินาในอีก 5 เดือนข้างหน้าคำแนะนำในการป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 (ล่าสุด)1. รัฐควรกำหนดมาตรการป้องกันเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ก่อนที่การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จะรุนแรงจนถึงขั้นต้องปิดประเทศ เช่น การกำหนดพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น โรงเรียน โรงงาน โรงมหรสพ ห้างสรรพสินค้า สถานที่ราชการ รถโดยสารสาธารณะ เป็นต้น โดยให้เจ้าของพื้นที่ ดูแล ทำความสะอาด และบุคคลที่จะเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงนี้ ต้องใช้ผ้าปิดจมูก-ปาก ทุกคน รวมทั้งให้มีการทำความสะอาดมือก่อนที่จะเข้าพื้นที่ด้วย2. ประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีโรคประจะตัวเกี่ยวกับปอด หัวใจ ไต เบาหวาน ภูมิแพ้ อ้วน เด็กและคนชรา ควรฉีดวัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่(ประจำปี ) แล้วขอหลักฐานเก็บไว้ หลังจากฉีดวัคซีนแล้ว 2สัปดาห์ จะมีผลในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไป (แต่ไม่เกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009) ดังนั้น หากเกิดมีอาการเช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ขึ้นมา ก็สามารถคาดเดาได้ว่า 90% น่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แล้วให้รีบไปตรวจที่โรงพยาบาล แสดงหลักฐานที่เคยฉีดวัคซีนไว้แล้ว แพทย์จะได้ตัดสินใจสั่งจ่ายยารักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009ให้- ค่าฉีดวัคซีนฯ ประมาณ600บาท/คน ค่ายารักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 จำนวน 10 เม็ด ประมาณ 2,000 บาท/คน- ถ้าไม่ได้ฉีดวัคซีนฯ เมื่อเกิดอาการเป็นไข้หวัดใหญ่ ถ้าไปที่โรงพยาบาลเอกชนที่มีเครื่องมือตรวจ และขอให้ทำการตรวจว่า เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือไม่ โดยจะเสียค่าตรวจประมาณ 3,500-5,000 บาท ซึ่งจะทราบผลประมาณ 1 วัน เมื่อตรวจพบว่า “เป็น” ต้องเสียค่ายาเพิ่มประมาณ 2,000 บาท/คน (ไม่รวมค่าอื่นๆ)- ถ้าไม่ได้ฉีดวัคซีนฯ เมื่อเกิดอาการเป็นไข้หวัดใหญ่ ถ้าไปที่โรงพยาบาลรัฐ หากแพทย์วินิจฉัยเห็นว่า มีอาการที่สมควรต้องตรวจว่า เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือเปล่านั้น ต้องใช้เวลาหลายวันจึงจะทราบผล เนื่องจากมีคิวยาว- การที่คนไข้จะขอซื้อยารักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพื่อรักษาตนเองนั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์3. เฉพาะในช่วงที่มีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงอยู่ในขณะนี้- รัฐควรแจกผ้าปิดปาก-จมูก ให้ประชาชนมากที่สุด- รัฐควรออกเงินให้สำหรับค่าตรวจ ว่าเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือเปล่า รวมทั้งค่ายาในการรักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เพราะคนที่ใช้บัตร 30บาทและประกันสังคม ในความเป็นจริงมักไม่ได้รับโอกาสเหมือนคนที่ใช้เงินสดในการรักษพยาบาล (ค่าใช้จ่ายไม่มากไปกว่า การขาดทุนจำนำข้าว การซื้อเครื่องบินไอพ่น เรือดำน้ำ รถหุ้มเกาะ หรือ งบประมาณเดินทางไปดูงานยังต่างประเทศของนักการเมืองและข้าราชการ อย่างแน่นอน)-    การทำให้ประชาชนเลิกวิตกหวาดกลัว และเกิดความเชื่อมั่นในความปลอดภัย เมื่อผลการตรวจที่ รพ.รามาธิบดี พบว่าผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่สุงถึง 80% ของจำนวนผู้ตรวจเชื้อ รัฐควรออกมาตรการรักษา โดยให้แพทย์สั่งจ่ายยารักษาทันทีที่ผู้ป่วยที่มาตรวจมีอาการข้อนข้างรุนแรง หรือมีโรคแทรกซ้อน (ไม่ว่ามีอาการรุนแรงหรือไม่) อย่างลืมว่าลักษณะพิเศษของโรคนี้คือติดต่อง่ายและตายเร็วเมื่อเชื้อลงสู่ปอด ควรให้โอกาสการรักษาพยาบาลกับประชาชนคนธรรมดาเท่าคนรวยและผู้ใหญ่ในบ้านเมือง อย่าปล่อยให้พวกเขาเสี่ยงกับความตาย ด้วยเหตุผลที่ว่าโรคนี้มีอัตราการตายน้อย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น